ข้อความต้นฉบับในหน้า
อานนท์ เราอ่อนไม่มิจฉาริษาเห็นบุคคลอิ้มนั่งหนึ่ง
ที่เราได้กำหนดรู้เหตุทั้งปวงด้วยใจแล้วพยากรณ์อย่างนี้เหมือน
เทวดาเทวทัตเลย ก็หว่าว่าเราได้เห็นธรรมขาวของเทวทัตเม็ดเพียงเท่า
หยดน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายอยู่ตรงใด ตราบนั้นเราก็
ยังไม่พยากรณ์ว่าทวดจะต้องเกิดในอบาย ตนรก อยู่ตลอด
กับ เยียวยาไม่ได้ แต่เมื่อเราไม่ได้เห็นธรรมขาวของเทวทัตเลย
แม้เพียงเท่าน้ำนที่สลัดออกจากปลายขนทราย เราจึงได้พยากรณ์
ว่าทวดจะต้องเกิดในอบาย ตนรก ดำรงอยู่ตลอดกับ เยียวยา
ไม่ได้...(ฉ.ฉุก. 22/333/451)
การที่ดวงบุญและดวงบาปเป็นเหตุของการไปสู่ทุติหรืออุตุดนั้น พระ
เดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี ก็ได้กล่าวไว้คล้ายกันว่า
สภาพที่เป็นบุญ เป็นดวงใส ติดอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่
ทำให้เป็นมนุษย์ สภาพที่เป็นบาปเป็นดวงดำ ติดอยู่ในศูนย์กลาง
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นมุนุษย์แบบเดียวกัน ถ้าดวงบุญใหญ่โตกว่า
ก็นำไปสู่สวรรค์ ถ้าดวงบาปใหญ่โตมาก็นำไปสู่ยมราช ใครจะ
แก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้น ย่อมเป็นไปตามคติของตน
(ธ. 407)
จึงกล่าวได้ว่า หลักการของโยคาวจรในประเด็นที่ว่า บุญเป็นเหตุำ
ไปสู่สุคติ บาปนำไปสู่ทุกข์ และมนุษย์ควรดำรงตนอยู่ในบุญ เอาใจผูกติดไว้
กับบุญนั้นตรงกันกับหลักการของวิชชาธรรมกาย และตรงกันกับที่กล่าวไว้ใน
พระไตรปิฎกบาลี