ข้อความต้นฉบับในหน้า
เรื่องของภาวะทางใจมักมากกว่าที่จะเป็นอุดมคติมากโดยตรง ทั้งนี้อธิบายได้ว่าหากใจสว่างบุคคลย่อมไม่กระทำผิดด้วยเจตสิกไม่ดีงาม
ในแต่งของการปฏิบัติโดยอนุโลก ปฏิโลก คัมภีร์กล่าวไว้ว่า "เมื่อฉันสัญญามาจากศรัทธาถึงนาฎิ กุมโหมันชื่อว่าโสดาท (ปิติ) ผล มาวิจิตฉฉา จิตตูปทา" (บรรท. 2.40.1) หลังจากนั้นก็กล่าวเป็นขั้นตอนตั้งแต่การเคลื่อนไจ ไปที่หัวใจได้ชื่อว่าสภาทามิมผล เมื่อใดตั้งไว้ที่คอเป็นอนาคามิมผล เมื่อไปถึง กระหม้อมเป็นอรหัตผลในทางย้อนกลับ คัมภีร์บรรยายไว้ว่าตำแหน่งว่าเป็น อรหัตมรรค อนาคามิมรรผล สภาทามิมรรผล และ โสดา (ปิติ) มรรผล เป็นลำดับ ไป ลักษณะทบทวนไปมา หรือ อนโลป ปฏิโลก เช่นนี้เป็นสิ่งที่มีวิริกา กล่าวว่าพระโยคาวจรควรปฏิบัติอยู่เสมอ ผู้ที่สามารถปฏิบัติได้อย่างนั้นว่าเป็นพระสงฆ์ ที่รง "ไตรสรณะคมน์"
แต่ก่อนที่จะปฏิบติถึงขั้นเข้าถิ่นรโ่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องกวามานด้วยการระลึก ถึง ทุกข์ อนิจจี อนุตตา (บรรท. 2.5.2, 8.1, 13.4, 14.4, 16.3) ผ่านวัตถุภายนอกและภายใน เช่นวัตถุติตสาการหรือส่วนประกอบของร่างกายต่างๆ 32 ประการ ซึ่งนับเป็นกายคตาสรุปแบบหนึ่ง จากนั้นคัมภีร์ก็กล่าวไว้ว่า "...ปัญญามา พิจารณาเห็นทุกข์จะแล้ว...กระทำณิรโทษให้แจ้งปลงสัญญาณสู่โตรักษณ์ สัญญานั้นแน่" (บรรท. 3.14.4)
4.2.3.7. ความสอดคล้องและความแตกต่างในทางปฏิบัติ
จากเนื้อหาการแนะนำสมาธิวามาและประสบการณ์ในการปฏิบัติที่ บันทึกไว้ในคัมภีร์ของไตรสรณะที่แสดงไว้ข้างต้น มีทั้งสิ่งที่สอดคล้องกันและ สิ่งที่แตกต่างจากหลักการของวิชาชรรมภายในประเด็นต่างๆ ดังนี้