ข้อความต้นฉบับในหน้า
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 ฉบับวิชาการ
เห็นได้ว่า คัมภีร์อธรรมนา เชื่อมโยงการกำจัดกิเลสเข้าสู่กันในสมาบัติ
(นิธิสมาบัติ) ซึ่งมีลักษณะเด่นชัดในส่วนของการหยุดหรือไม่มีกรแลม
หายใจ ประเภทนี้อาจจะแบ่งลมหายใจออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
“ปัสสาววาต” คือลมหายใจภายนอก “อัสสาววาต” คือลมหายใจที่แล่นอยู่
ภายใน และ “นิสาสวาต” คือลมหายใจที่อยู่ในไม่มีกรแลม รักษอิทธิธรรม
เรียลมหายใจชนิดหลังนี้ด้วยชื่อ “นิสาสวาต” และกว่าถึงการหยุดนี้ไม่มี
กรแลม หายใจในกันคือว่า “เมื่อจับเอาผ่าสังขยฺ์ภูมิขนาบตะนั้นให้ระนี๊ก
นิสาสวาต คือคล่ำห่อไฟไร้ ให้ระนี๊กอยู่ในอิทธิธรรมับปล้นแปร ตั้งอยู่เป็นด้งผ้า
สังขามภิพิบไว้วันองค์ให้หายใจออก ได้ชื่อว่าพระอิทธรรมอิสวาตเข้าทาง
นิธิอาณสุขมา บให้ได้หายใจออก” (ญาณต. ฉบับวัดชลสง 5.2) ส่วน
คัมภีร์พทธนรณ์ให้ความสัมพันธ์ระหว่างนิสาสวาตกับนิธิเราไว้ว่า “ครั้นว่าผู้ใด
รู้จัก นิสาสวาตให้เป็นนิธิอร กรู้จักตัวพระธรรม” (พุทธอานัน 31.4) ซึ่งหมาย
ถึงการทำนี้โด้วยการถ อมาหายใจที่ไม่มีกรแลนเอง
ส่วนในวิชาชาธรรมกายกล่าวถึงการละกิเลสเป็นลำดับไปดังนี้
โตรุมบุคคลนี้ดินสมาบัติ เพ่งอิสร้ส 4 เป็นองค์สม
ปฏิโลม จนหลุดพันจากกิเลสพวกสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต
ปรามาส แล้วตกศูนย์บับกลับเป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าพระโสดาบัน ละกิเลสได้ 3 คือ ลักษากายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
... แล้วทายพระอนาคามีเดินสมาบัติเพ่งอิสร้ส 4 ทำนอง
เดียวกันนั้น ต่อไปยังดีสุดละกิเลสได้อีก 5 คือ รูปรา และ
ราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา จึงเลื่อนขึ้นจากพระอนาคามีเป็น