ข้อความต้นฉบับในหน้า
หลักฐานธรรมภายในคัมภีร์พุทธโธราน 1 ฉบับวิจารณ์
ข. วิริยสมาบัติญาณ
วิริยสมาบัติญาณ เป็นหนึ่งในญาณของพระธรรมกายที่แสดงไว้ในคาถา ธรรมกาย แต่เป็นคำที่ไม่พบในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาบาลี15 ในการแสดง ความหมายของพระญาณนี้บทธรรษาธิยกกล่าวแยกกันเป็น 2 คำ คือ “วิริ” และ “สมาบัติญาณ”
สำหรับการอธิบายความหมายของ “วิริ” พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยการ กล่าวถึงช้าง 10 ตระกูลที่มีกำลังเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ ตระกูลกาวก คังไกล จนถึง อุโบสถ และฉันทันท16 ช้างในตระกูลฉันทันตีเป็นช้างที่มีกำลัง มากที่สุด คืมีำลังเป็น 10 เท่าของช้างตระกูลอโถส ส่วนกำลังของพระ ตระกูลนั้นเท่ากับกำลังของช้างตระกูลฉันทันท 10 เขอรวมกัน กำลังอัน มหาศาลของพระตระกูลนี้เอง ท่านให้ชื่อว่า “ทรายณ” ซึ่งคำบริสุทธิ์แสดงความ หมายไว้ว่ า เป็นชื่อของรัศมีอันโชติช่วงที่ปล่อยออกมา17 และ “ทรายณพลัง” นั้น ท่านเรียกว่า “วิริ” ดังนั้นจากคำสรุปได้ว่า ความหมายของ “วิริ” หรือ “วิริพลัง” ก็คือพลังอันมหาศาลซึ่งแสดงออกในรูปของรัศมีอันโชติช่วง
15 ภูฏาสมาปทินียสูตร กล่าวถึงพัทธิ์คำคำว่า “วิริธญาณ” โดยเชื่อโยงกับการเข้าหากรร มสมาบัติและอรรถิดต่อผลสมาบัติของพระพุทธองค์ (DT 3/55 CS)
16 ช้าง 10 ตระกูลได้แก่ 1. กาบพวกหัวดี สี่ สี 2. คณิทิสีเหมือนสี่นำเข้ 3. ปัณฑรหลีดี สีขาวดำเข้าใกลราส 4. ตามพัททิ สีทองแดง 5. บิงคลัสดี สีทองอ่อนดังสีเทาแมง 6. คันรหัสสี สเปสี กขุน ทางมีลักษณะห้อม 7. มงคลหลีดี สีทองอัน มีรยาทำเท่ามงดงาม 8. เหนมหลีดี สีเหลืองดังทอง 9. อโณรหัสดี สีทองอำ 10. จันททิหลีดี สีขาวอำ ขึ้นทันทีที่ได้รับข้อนี้อธิบายว่าสว่เป็นรัศมีอันโชติช่วง(พจนานุกรมราชันติกะสัน 2542: “กาฬวา”) ซึ่งทอรรถาธิบายได้แสดงไว้เป็นภาษาบาลีว่ากลาวกวู คุยย ปนฤ ม์ ตปุ์ คณะ มุกดา เหนมจู อูโบสถ์ จานทนฑิมฯ (รมมก. กี1.1)
17 ตุตุ นรายานาติ รสุโมชฌา นิฎฐมณี ฯ (รมมก. กี1.2)