ข้อความต้นฉบับในหน้า
ลักษณะเดียวกันกับคำภิรของโยความจคือ แม้จะไม่ได้กล่าวว่าต้องทั้งรู้ทั้งเห็นโดยตรง แต่พระสูตรแนะนำการเจริญสมาธิภาวนาก็กล่าวถึงทั้ง “ความเห็น” และ “ความสว่าง” ที่เกิดขึ้นในการเจริญสมาธิภาวนา (ตัวอย่างใน 3.3.2.1, 3.3.2.2, 3.3.2.4, 3.2.5.1) รวมทั้ง “ความรู้” ว่าสิ่งต่างๆ ล้วน “ว่างเปล่า” (Skilton 2002 : 137)
คำแนะนำให้ปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่ใช่ตนคือขั้น 5 และคำแนะนำให้ประกอบความเพียร เจริญสมาธิภาวนา เพื่อเป็นหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่พระนิพพาน รวมทั้งหลักการที่ว่าในการปฏิบัติต้องให้ถึงขั้นที่ทั้งรู้และทั้งเห็น คือมีทั้งักษุและญาณ จึงจำนำตัวรอดพ้นจากทุกได้ จึงอาจเป็นวเป็นคำสอนหลักที่เป็นแกนกลางคำสอนของทุกนิยากระทำอีกประการหนึ่ง
5.2.2.5. พระพุทธองค์ทรงเป็น “พุทธะ” เป็น “ธรรมกาย” มีใชมนุษย์หรือเทวดา
ในคำภิรนิยายหลักเก่าๆ จารึกในภาษาคารา มีพระสูตรหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ผัดรสว่า พระองค์อายได้เป็นมนุษย์ และมีเป็นเทวดาประเภทต่างๆ แต่ทรงเป็น “พุทธะ” เพราะพระองค์ทรงหมดกิเลสที่จะทำให้เป็นอย่างอื่นแล้ว แม้จะยังทรงดำรงอยู่ในโลกแต่ก็ไม่ติดโลก ประดุจดอกบัวที่ไม่เปื้อนน้ำและโคลนตมอะนัน (3.1.1) เป็นคำสอนที่ตรงกันกับในพระไตรปิฎกซึ่งจัดเป็นนิภาษหลักเหมือนกัน (อญ.เอก. 21/36/48-50) แต่ของคนละภูมิภาค อึ่ง หลักการนี้ นับว่าเป็นหลักการเดียวกันกับที่ตรัสไว้ในอัคคัญสูตรว่า พระองค์ทรงเป็นธรรมกาย หรือธรรมกายเป็นพระนามของพระองค์ (ที่ป. 11/55/92) ซึ่งบ่งบอกว่ารูปกายไม่ใช่แท้จริงของพระองค์ แต่ธรรมกาย