ข้อความต้นฉบับในหน้า
ให้ได้สะเสียงธรรรมฐานและแก้วทั้ง 3 เป็นที่พึงก็ละเสียได้แล ตายก็แล้วให้ปลดใจตายเป็นฉันนี้แท ก็จึงได้เห็นธรรมิวิเศษพยามมี ปีติ สมาธิ (มูลล. 22.12) ซึ่งกล่าวโดยสรุปไว้ว่า ให้เสียงของคำาวนัดง้องเข้าไปสกลางใจและให้มั่นต่อการปฏิบัติอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
มีข้อสังเกตในการเจริญภาวนาเมตตามดตาพรหมวิหาร คัมภีร์ได้ระบุถึงบทบาทสำหรับภาวนาเมตตาต่อ ตนเองเพิ่มขึ้นมา ก่อนที่จะภาวนาเมตตามผู้อื่นด้วย(มูลล. 27.8) โดยกล่าวว่าเป็นคำแนะนำของ “ครูบาอาจาริยา งางร่อน” หรือ “ลางครู” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคัมภีร์มูลลามในนี้ รวมรวมจากการปฏิบัติของอาจารย์สายประจำมากกว่าสำนัก นอกจากนี้ในส่วนของกายคตา คัมภีร์ยังให้เพิ่มเติมใน การพิจารณา “มูลลก” หรือมันสมอง (มูลล. 32.9) ว่า อาจพิจารณาแยกมันสมองและกะโหลกออกเป็นอาการ (อัยยะ) สองแทนที่จะเป็นอวัยวะเดียวดัง การพิจารณาอาการ 32 โดยทั่วไปได้ ดังนั้น การปฏิบัติยตาสติตามแบบคัมภีร์มูลลาม นี้ จึงอาจพิจารณาอวัยยะหรือส่วนประกอบของร่างกายแยกเป็น 33 ส่วน แทนที่จะเป็น 32 ก็ได้
กรรมฐานประเภทสุดท้ายที่กล่าวไว้ในคัมภีร์มูลลาคือรูปกรรมฐาน (มูลล. 42.5) ซึ่งมีบทบาทประกอบด้วยบทธูซาพระรัตนตรัย และบทอธิษฐานขอปีติ สมา อนาและอภิจญา
สมาธิวาณที่แสดงรายละเอียดไว้ในคัมภีร์มูลลานี้ล้วนเป็นสมาธิกรรมฐานทั้งสิ้น การปฏิบัติอิเป็นจิตวิสนิ (มูลล. 43.11) อีกทั้งเป็นอภิจกติก สำฤทธิ์ เพื่อให้ได้ ตังคปหาน วิภมานปหาน (มูลล. 45.13) กรรมฐานทั้งหมดสามารถกำจัด “บพพาปา เวรวันเก่า” และที่จะเกิดใหม่ได้ คัมภีร์กล่าวไว้ว่าครั้ง