ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 27
อีกนัยหนึ่ง ก็บทว่า สสงฺขารึกมสงฺขาริก นี้ ท่านพระอนุ
รุทธาจารย์กล่าวหมายถึงความมีและความไม่มีแห่งสังขารอย่างเดียว ไม่ใช่
แห่งอาการที่สังขารนั้นเป็นไปร่วมกับจิต
เพราะความมีและไม่มี
เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดด้วยอำนาจแห่งสังขารนั้น โดยเหตุที่สังขารแม้มี
ความเป็นไปในสันดานต่างกันก็มีจิตนี้เป็นผล จึงชื่อว่าสสังขาริก ด้วย
อรรถว่า "มีสังขาร" เพราะ สห ศัพท์ แสดงอรรถว่า มี ดุจในบท
มีอาทิว่า สโลมโก สัตว์มีขน สปกขิโก สัตว์มีปีก ๆ ส่วนจิตที่วิปริต
จากสังขารนั้น ชื่อว่าอสังขาริก โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ เพราะ
ไม่มีสังขารนั้นฯ
[ว่าด้วยสัมปยุตธรรมเป็นต้น]
ન
จิตที่ไม่ประกอบ คือไม่ระคนด้วยทิฏฐิคตะ เหตุนั้น จึงชื่อว่า
ทิฏฐิคตวิปปยุต ฯ
เวทน
નૂ
ทนาที่ชื่อว่าอุเบกขา เพราะอรรถว่า (ย่อม) เพ่ง คือเสวย
อารมณ์โดยเหมาะ คือ โดยควร แม้เมื่อเสวย ก็เสวยโดยดำรงมั่นอยู่
ด้วยอาการวางตนเป็นกลาง ๆ อีกอย่างหนึ่งเวทนาที่ชื่อว่าอุเบกขา
เพราะอรรถว่า (ความ) เพ่ง คือเสวยพอเหมาะพอควร คือไม่ขัดต่อ
สุขและทุกข์ฯ จริงอยู่ อุเบกขาเวทนานี้ ย่อมเป็นไปแม้ในลำดับแห่ง
สุขและทุกข์นั้น เพราะไม่ขัดต่อสุขและทุกข์ฯ คำว่า อุเปกขาสหคติ นี้
มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล ฯ มีคำถามสอดเข้ามาว่า เมื่อสัมปยุตธรรม
แม้เหล่าอื่น มีผัสสะเป็นต้น ก็มีอยู่ในจิตนี้ เพราะเหตุไร ท่านอาจารย์
จึงกล่าวไว้ เฉพาะความที่จิตสหรคตด้วยโสมนัสเท่านั้น ฯ เฉลยว่า
ન