ข้อความต้นฉบับในหน้า
બૈ
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 125
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยสุขเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ขันธ์ ๒
ดังนี้ ฯ แต่ไม่ทางยกปฏิจจนัยขึ้นด้วยอำนาจปฏิสนธิกาล โดยนัย
เป็นต้นว่า ในขณะแห่งปฏิสนธิที่เป็นอเหตุกะ ฯ เพราะฉะนั้น แม้
การไม่ตรัสธรรมที่ไม่ได้ในยถาธรรมศาสน์ ก็แสดงความไม่มีแห่ง
ธรรมนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น ความเป็นไปแห่งสันตีรณะที่สหรคต
ด้วนสุขนั้น จึงไม่มีด้วยอำนาจแห่งปฏิสนธิกาล ฯ ก็การไม่ตรัสธรรม
อะไร ๆ แม้ที่ได้อยู่ในที่ใด เหตุในที่นั้นจักมีแจ้งข้างหน้าฯ ชวนกิจ
ย่อมไม่มีแก่มโนทวาราวัชชนะ แม้เป็นไปอยู่ ๒-๓ ครั้งในปริตตารมณ์
เพราะมีไม่การ เสวยรสแห่งอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึง
กล่าวว่า เว้นอาวัชชนะทั้ง ๒ ฯ ก็เพราะอธิบายอย่างนี้ พระอรรถ-
กถาจารย์จึงกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า ตั้งอยู่แล้วในฐานแห่งชวนะ ฯ
เมื่อถือเอาความโดยประการอื่น มโนทวาราวัชชนะก็ควรกล่าวได้ว่า
เป็นชวนดังนี้แล ฯ
[แสดงจำนวนของจิต]
คำว่า กุสลากุสลกุริยาจิตฺตานิ ได้แก่ จิตที่เป็นโลกิยกุศลและ
โลกุตตรกุศล ๒๑ เป็นอกุศล ๑๒ โลกุตตรผลจิต ๔ และกิริยาจิต
ที่เป็นไปในภูมิสาม ๑๘ฯ จริงอยู่ จิตมีโลกุตตรมรรคจิตเป็นต้น แม้
ชั่วขณะจิตเดียว ก็ชื่อว่าชวนกิจ เพราะมีการเสวยรสแห่งอารมณ์นั้น
เป็นสภาพ เหมือนพระสัพพัญญุตญาณ แม้มีอารมณ์อย่างหนึ่ง ๆ เป็น
วิสัย ย่อมไม่ละซึ่งนามนั้นในกาลบางครั้ง เพราะประกอบด้วยความ
สามารถในการรู้ซึ่งอารมณ์ทั้งสิ้น ฉะนั้นแล ฯ ท่านอาจารย์กล่าวว่า