ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 429
วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดังนี้ แต่เมื่อสัมมสนญาณ
เกิดขึ้นแล้ว พิจารณาอยู่ซึ่งความเกิดและความดับในสังขารเหล่านั้น
นั่นแหละ ด้วยอุทยัพพยญาณ โดยอาการ ๕๐ ทัศ ด้วยสามารถเห็น
เกิดดับขันธ์ละ ๑๐ คือเห็นเกิด ๕ อย่าง เห็นดับ ๕ อย่าง คือ ๔ อย่าง
ด้วยสามารถแห่งปัจจัย และอีกอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งขณะในขันธ์
แต่ละขันธ์ คือด้วยสามารถความเกิดขึ้นแห่งปัจจัย และด้วยสามารถ
ความดับไปแห่งปัจจัยในรูปขันธ์อย่างนี้ คือ เพราะอวิชชาเกิด รูปเกิด
เพราะตัณหา... กรรม... อาหารเกิด... รูปเกิด เพราะอวิชชาเกิด รูปดับ
เพราะตัณหา... กรรม... อาหารดับ รูปดับ ทำนองเดียวกัน และแม้
ถึงในเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ (ก็อย่างในรูปขันธ์) เป็น
แต่ชักเอาอาหารออก ใส่ผัสสะเข้าแทนอย่างนี้ว่า เพราะผัสสะเกิด....
เพราะผัสสะดับ.... ดังนี้ ในวิญญาณขันธ์ใส่นามรูปเข้าแทนว่า เพราะ
นามรูปเกิด... เพราะนามรูปดับ... ฉะนี้ และด้วยสามารถแห่งขณะโดยที่
มิได้เกี่ยวถึงปัจจัย เป็นแต่เห็นเพียงลักษณะคือความเกิด และเพียง
ลักษณะคือความแปรเปลี่ยนไปในขณะปัจจุบัน ๆ เท่านั้น เมื่อเกิด
วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง มีโอกาสเป็นต้น คือ โอภาส กล่าวคือ
แสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากสรีระ เกิดจากจิตสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ๑
ปีติ ๕ อย่าง มีขุททกาปีติเป็นต้น ซึ่งเกิดร่วมกับวิปัสสนาจิต
ปัสสัทธิ ๒ อย่าง ด้วยอำนาจกาย (ปัสสัทธิ) และจิตต (ปัสสัทธิ)
มีความระงับความกระวนกระวายทางกายและจิตเป็นลักษณะ ที่เกิดร่วม
กับวิปัสสนาจิตเหมือนกัน ๑ อธิโมกข์ กล่าวคือสัทธินทรีย์ ที่มีกำลัง ๑
‹