ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 179
ปาฏิหาริย์ หรือแก่พระสาวกเหล่าอื่นในเวลาเห็นปานนี้ ฯ ส่วนคำว่า
๔ หรือ ๕ ดวงนี้ ท่านอาจารย์ธรรมปาลเถระกล่าวว่า บัณฑิตควร
ๆ
ถือเอาด้วยอำนาจบุคคลผู้มีอินทรีย์แก่กล้าและมีอินทรีย์อ่อน ๆ เพราะ
เหตุนั้น คำว่าปัจจเวกขณจิต ๔ ดวง ย่อมเป็นไปแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
สำหรับสาวกอื่น มีพระสารีบุตรเป็นต้น มีปัจจเวกขณจิตทั้ง ๕ ดวง
ดังนี้ ดูเหมือนจะถูกต้อง (ดูเหมือนจะใช้ได้) ฯ
บทว่า อาทิกมุมิกสฺส คือผู้กระทำกรรมคือความเพียงตั้งแต่ต้น ๆ
อัปปนาที่เกิดแต่แรก ชื่อว่าปฐมอัปปนาฯ ท่านอาจารย์ทำไว้ในใจว่า
ศัพท์ที่ท่านประกอบไว้ว่า ปฐมกรุ๊ปนาย ดังนี้ จึงมีแม้แก่อภิญญา-
ชวนจิต จึงได้กล่าวว่า สพฺพทาปิ ฯ ความว่า อภิญญาชวนจิตทั้ง ๕
ย่อมแล่นไปคราวเดียวเท่านั้น ในเวลาอัญญาชวนจิตเกิดคราวแรก
และในเวลามีความชำนาญที่บุคคลต้องเสพแล้ว ฯ มรรคนั้นแล ชื่อว่า
มรรคุปบาท เพราะบังเกิดขึ้น ๆ บทว่า ยถารห์ ได้แก่ ตามสมควร
แก่มรรคที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นที่ ๕ หรือที่ ๔ ฯ
က
จริงอยู่ เพราะวิถีมีอาวัชชนะเดียวกัน มีเพียง ๓ ชวนะเป็นอย่าง
มาก ผลจิต ๓ ย่อมมีต่อจากมรรคที่เกิดขึ้นเป็นที่ ๔ หรือผลจิต ๒ มี
ต่อจากมรรคที่เกิดขึ้นเป็นที่ ๕ ฯ บทว่า นิโรธสมาปฤติกาเล คือ
ในกาลเป็นส่วนเบื้องต้นของนิโรธ ฯ บทว่า จตุตถารูปวน์ ความว่า
ๆ
บรรดาชวนจิตที่เป็นกุศลและกิริยา เนวสัญญานาสัญญายตนชวนจิตดวง
ใดดวงหนึ่งย่อมแล่นไป ๆ ท่านอาจารย์ทำในใจว่า พระอนาคามีและ
พระขีณาสพเท่านั้น ย่อมเข้านิโรธสมาบัติได้ พระโสดาบันและพระ