ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 332
ปัญญาสงเคราะห์เข้าได้ใน ๕ ฐาน วายามะ
และเอกัคคตาแล สงเคราะห์เข้าได้ใน ๔
ฐาน จิตและสติสงเคราะห์เข้าใน ๓ ฐาน ฯ
สังกัปปะเวทนาและศรัทธา บัณฑิตกล่าวว่า
สงเคราะห์เข้าได้ใน ๒ ฐาน ธรรมที่เหลือ
๒๘ ท่านกล่าวว่า สงเคราะห์ลงในฐานอย่าง
ละ ๑ ฐาน ฯ
[อธิบายโพธิปักขิยธรรมมีสติปัฏฐานเป็นต้น]
ธรรมชาติที่ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะอรรถว่า เป็นไปทั่วถึง" อธิบาย
ว่า เป็นไปในอารมณ์มีกายเป็นต้น ก็หยั่งเห็นเข้าไป ด้วยสามารถ
ถือว่าไม่งามเป็นอาทิด้วย ฯ ธรรมชาติที่เป็นไปทั่วถึง" (เช่นนั้น)
คือสติ ชื่อว่าสติปัฏฐาน ฯ แต่สติปัฏฐานนั้นมี 4 อย่าง ตามอำนาจ
ความถืออาการว่าไม่งาม เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตน ในกาย เวทนา
จิต และธรรม และตามอำนาจการละสัญญาวิปัลลาส (ความสำคัญผิด
ในกายเป็นต้น) ว่า งาม เป็นสุข เที่ยง และเป็นตน เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐาน ๔ ฯ ที่เกิดแห่งส่วนที่น่าเกลียดมีผมเป็นต้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ากาย ฯ การตามเห็นกายนั้น คือการรำลึก
นึกถึงกายนั้น ด้วยอำนาจบริกรรมและด้วยอำนาจวิปัสสนา ชื่อว่า
กายานุปัสสนา ฯ การตามเห็นด้วยอำนาจเวทนา ซึ่งเป็นทุกข์เพราะทน
๑. แปลตามนัยโยชนาที่ว่า ปปุพฺโพ ฐา ปวตฺติย์ ถ้าถือว่า ฐา คตินิวตริย์ ก็แปลว่า ตั้งมั่น
และอธิบายก็คงเป็นอย่างยิ่งนั้น ฯ ๒. หรือว่าธรรมชาติตั้งมั่น ฯ