ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 29
ท่านอาจารย์จึงไม่อาจบัณฑิตความพิเศษแห่งจิตด้วยเจตสิกธรรม มีผัสสะ
เป็นต้นนั้น ดังนี้แล ฯ ก็เพราะอธิบายอย่างนี้ แม้เมื่อความที่จิตเหล่า
ๆ
นั้นมีโมหะเป็นเหตุ มีอยู่ ในนิคมคาถา ท่านอาจารย์จึงกล่าวความ
เป็นจิตสหรคตด้วยโลภะไว้ฯ ส่วนลำดับแห่งความเกิดขึ้นแห่งจิตแม้ทั้ง 4
ดวงนี้ บัณฑิตพึงทราบดังต่อไปนี้ ฯ
[ความเกิดแห่งโลภมูลจิต ๘]
จริงอยู่ เมื่อใด บุคคลทำมิจฉาทิฏฐิเป็นเบื้องหน้า โดยนัยเป็น
ต้นว่า โทษในกามทั้งหลายไม่มี ดังนี้ ร่าเริงยินดี บริโภคกามก็ดี
เชื่อถือมงคลมีทิฏฐมงคลเป็นต้น โดยเป็นสาระก็ดี ด้วยจิตที่กล้าเอง
ตามสภาพอย่างเดียว ไม่มีใครช่วยกระตุ้น เมื่อนั้น อกุศลจิตดวงที่ ๑
ย่อมบังเกิดขึ้น ๆ อนึ่ง เมื่อใด (บุคคลทำมิจฉาทิฏฐิเป็นเบื้องหน้า
โดยนัยเป็นต้นว่า โทษในกามทั้งหลายไม่มี ดังนี้ ร่าเริงยินดี บริโภค
กามก็ดี เชื่อถือทิฏฐมงคลเป็นต้นโดยเป็นสาระก็ดี) ด้วยจิตที่อ่อน
มีผู้ช่วยกระตุ้น เมื่อนั้น อกุศลจิตดวงที่ ๒ ย่อมเกิดขึ้น ๆ แต่ว่า
เมื่อใด บุคคลไม่ทำมิจฉาทิฏฐิเป็นเบื้องหน้า ร่าเริงยินดีอย่างเดียว ย่อม
เสพเมถุนบ้าง คิดอยากได้สมบัติของคนอื่นบ้าง ย่อมลักทรัพย์ของคน
อื่นบ้าง ด้วยจิตกล้าเองตามสภาพอย่างเดียว ไม่มีใครช่วยกระตุ้น เมื่อนั้น
อกุศลจิตดวงที่ ๓ ย่อมเกิดขึ้น ฯ อนึ่ง เมื่อใด (บุคคล ไม่ทำมิจฉา
ทิฏฐิเป็นเบื้องหน้า ร่าเริงยินดีอย่างเดียว ย่อมเสพเมถุนบ้าง คิดอยาก
ได้สมบัติของคนอื่นบ้าง ย่อมลักทรัพย์ของคนอื่นบ้าง) ด้วยจิตที่อ่อน
มีผู้ช่วยกระตุ้น เมื่อนั้น อกุศลจิตดวงที่ 4 ย่อมเกิดขึ้น ฯ อนึ่ง
ન