ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 365
หาเป็นการแยกแสดงองค์ต่างหากไม่
คำว่า ตณฺหูปาทานภวาปิ คริตา โหนติ ความว่า ตัณหาและ
อุปาทาน ท่านถือเอาโดยอวิชชาศัพท์ เพราะเป็นธรรมเสมอกัน โดย
ความเป็นกิเลส (โดยมีสภาพเป็นกิเลส)” กรรมภพท่านถือเอาโดยสัง
ขารศัพท์ เพราะเป็นเหมือนกับกรรมภพ ฯ สัมพันธ์ความว่า ก็อวิชชา
และสังขาร ท่านก็ถือเอาโดยศัพท์ว่า ตัณหาอุปาทานและภพเหมือนกันฯ
แม้ในคำเป็นต้นว่า ตถา นี้ บัณฑิตพึงทราบการสงเคราะห์อวิชชาและ
สังขารเหล่านั้น โดยการถือเอาตัณหาอุปาทานและภพนั้น โดยนัยที่
กล่าวแล้ว ฯ ก็ท่านอาจารย์ทำในใจว่า เฉพาะความเกิด ความแก่
และความดับแห่งวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ความเกิด ความแก่ และความตาย ดังนี้
จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ชาติชรามรณคฺคหเณน ดังนี้ ฯ เหตุ ๕ อย่างที่
เกิดแล้วในภพอดีตเป็นปัจจัยแก่ผลอันเป็นปัจจุบัน ตามอำนาจแห่งอวิชชา
และสังขารทั้ง ๒ ซึ่งท่านกล่าวไว้แล้วโดยย่อว่า อตีเต เหตโว ปญฺจ
(เหตุในอดีต ๕), และ (ตามอำนาจ) แห่งตัณหา อุปาทาน และ
ภพทั้ง ๓ ที่ท่านถือเอา ด้วยอำนาจแห่งการประมวล (สงเคราะห์) ฯ
คำว่า อิทานิ ผลปญฺจก ได้แก่ผล ๕ อย่าง มีวิญญาณเป็นต้น ซึ่งเกิด
ขึ้นในปัจจุบันนี้ จากปัจจัยคืออดีตเหตุฯ เหตุในปัจจุบัน ๕ อย่าง เป็น
ปัจจัยแก่ผลในอนาคต ตามอำนาจแห่งเหตุทั้ง ๓ มีตัณหาเป็นต้น ที่ท่าน
กล่าวไว้โดยสังเขปว่า อิทานิ เหตโว ปญฺจ (เหตุในปัจจุบันมี ๕),
ကေ
๑. โยชนาเป็น กิเลสสภาวสามญฺญโต ฯ
က