ข้อความต้นฉบับในหน้า
ๆ
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 271
ธาตุอันเป็นส่วนแห่งสรีระและภูเขา คือ ปฐวีฯ ชื่อว่าอาโป ด้วยอรรถ
ว่า เอิบอาบ คือซึมซาบรูปที่เกิดร่วมกัน หรือด้วยอรรถว่า เพิ่มพูน
คือพอกพูนให้เจริญฯ ชื่อว่าเตโช ด้วยอรรถว่า ให้ร้อน คือให้อบอุ่น
หรือให้เข้มแข็ง คือให้ภูตรูปทั้ง ๓ ที่เหลืออุ่นอยู่ โดยภาวะเป็นสภาพ
แรงกล้า ฯ ชื่อว่าวาโย ด้วยอรรถว่า เคลื่อนไหว คือให้ประชุมแห่ง
ภูตรูปเคลื่อนที่โดยเป็นเหตุเกิดปรากฏ (แห่งรูป) ในที่อื่น ๆ จึงเข้า
ใจว่า ก็ธาตุทั้ง ๔ นี้ มีลักษณะเป็นของเข้มแข็งเป็นเหลว เป็น
ความอบอุ่น และเป็นอาการเคลื่อนไหวตามลำดับฯ อรรถวิเคราะห์
แห่งคำว่า จักขุเป็นต้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแลฯ ชื่อว่า
ประสาทรูป เพราะมีลักษณะเป็นเหตุแห่งความผ่องใสของมหาภูตทั้ง ๔ ฯ
ก็ประสาทรูปนั้น มีลักษณะทำภูตรูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน อันมีความ
ประสงค์จะดู จะฟัง จะดม จะลิ้ม และจะสัมผัส เป็นเหตุให้ผ่องใสตาม
ลำดับ ฯ
[อธิบายประสาทรูป]
ය
บรรดาประสาททั้ง ๕ เหล่านั้น จะกล่าวจักษุประสาทก่อน ๆ
จักษุประสาทนั้น ซึมซาบเยื่อตา ๓ ชั้น ประดุจน้ำมันซึมซาบปุยนุ่นใน
ประเทศที่เกิดสรีรสัณฐานแห่งผู้อยู่ตรงหน้า มีประมาณเท่าศีรษะเล็น
ในท่ามกลางแห่งแววตาดำ อันธาตุทั้ง ๔ มีหน้าที่ทรงสมานให้อบอุ่น
และให้เคลื่อนไหว กระทำอุปการะแล้ว ประดุจขัตติยกุมารอันพระ
พี่เลี้ยงทั้ง ๔ มีหน้าที่อุ้มให้สรงสนาน แต่งพระองค์และถวายอยู่งานพัด
เฝ้าประจำแล้ว อันฤดู จิต และอาหารคอยอุปถัมภ์ อันอายุเฝ้าบริบาล