ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา - หน้าที่ 83
ของเปรี้ยวเป็นต้น เกิดน้ำลายสอขึ้นเป็นต้นฯ
l
ธรรมชาติที่ชื่อว่าเวทนา เพราะอรรถว่า รับรู้ คือเสวยรสแห่ง
อารมณ์ ฯ เวทนานั้น มีการับรู้เป็นลักษณะ ฯ จริงอยู่ จริงอยู่ สัมปยุตธรรม
ที่เหลือ ถึงการเสวยรสของอารมณ์ ก็เสวยโดยเพียงเอกเทศเท่านั้น ฯ
แต่เวทนาเท่านั้น ย่อมเสวยโดยแน่นอน เพราะมีความเป็นใหญ่ๆ
จริงอย่างนั้น เวทนานี้ท่านอาจารย์กล่าวว่า เหมือนพระราชาผู้เสวยรส
โภชนะดีๆ ก็ท่านอาจารย์จักกล่าวประเภทแห่งเวทนานั้น ด้วยอำนาจ
สุขเวทนาเป็นต้น เสียเองทีเดียว ฯ
ธรรมชาติที่ชื่อว่าสัญญา เพราะอรรถว่า รู้อารมณ์ ต่างโดย
อารมณ์มีสีเขียวเป็นต้น คือทำเครื่องหมายรู้ (คือรู้ทำเครื่องหมาย) ฯ
สัญญานั้น มีความรู้จำเป็นลักษณะ ฯ จริงอยู่ สัญญานั้นเมื่อจะเกิด
ถือเอาอาการที่เป็นเหตุแห่งความจำในภายหลังเกิด เหมือนพวกช่างไม้
เป็นต้น ทำเครื่องหมายที่ไม้เป็นต้นฉะนั้น ๆ ท้วงว่า ก็คำนี้ใช้ได้
สำหรับสัญญา ผู้ทำเครื่องหมายก่อน แต่สำหรับสัญญาที่รู้จำด้วย
เครื่องหมายจะใช้ได้อย่างไร ฯ แก้ว่า สัญญาที่จำได้ด้วยเครื่องหมาย
แม้นั้น ก็ถือเอาการที่เป็นเครื่องหมายแห่งความจำได้ ของสัญญา
ใหม่เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้น จึงไม่มีความผิดอะไรในสัญญาที่รู้จำด้วย
เครื่องหมายนี้ ฯ
ธรรมชาติที่ชื่อว่าเจตนา เพราะอรรถว่า มุ่งหวัง คือจัดสรร
ให้ธรรมที่สัมปยุตด้วยตนเป็นไปในอารมณ์ หรือถึงความขวนขวายใน
การปรุงแต่งสิ่งที่เป็นสังขตะ ๆ จริงอย่างนั้น เจตนานี้แล พระผู้มีพระ