ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 295
(พรากจากกันไม่ได้) ฯ เพื่อแสดงความพิเศษแห่งคำว่า "จิตที่ช่วย
ค้ำจุนอิริยาบถและยังรูปให้เกิดขึ้น" นี้ ท่านอาจารย์จึงทำการถือเอา
อิริยาบถและวิญญัติต่างหากจากรูป ฯ
งหลายทรง
คำว่า เตรส ความว่า โสมนัสชวนจิต ๑๓ คือ จากกุศล ๔
จากอกุศล ๔ จากกิริยา ๕ ฯ ปุถุชนย่อมหัวเราะด้วยกุศลจิตและ
อกุศลจิต ๔ ฯ พระเสขะย่อมหัวเราะด้วยจิต ๖ เว้นจิตที่สหรคต
ด้วยทิฏฐิ ฯ ส่วยพระอเสขะยิ้มแย้มด้วยกิริยาจิต ๕ ฯ แม้บรรดา
กิริยาจิตที่สหรคตด้วยโสมนัสทั้ง ๕ นั้น เพราะพุทธเจ้าทั้งหล
แย้มพระโอฐด้วยกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ 4 เท่านั้น หาทรงแย้มด้วย
อเหตุกจิตไม่ ฯ อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ก็เพราะพระบาลีว่า พระผู้
มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้ทรงบรรลุพระญาณอันไม่ติดขัดในส่วนแห่งกาล
มีอดีตกาลเป็นต้น ทรงประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่านี้ ทรงมี
กายกรรมทุกอย่างมีพระญาณเป็นหัวหน้า เป็นไปตามพระญาณ ดังนี้
ความเป็นไปแห่งหสิตุปบาทจิตที่เว้นจากปัญญาเครื่องพิจารณาไม่สมควร
แก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย ฯ ก็เหตุแห่งการทรงแย้มของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายเหล่านั้น แม้อันหสิตุปบาทจิตให้ทรงเป็นไปอยู่ ชื่อว่าเป็นไป
ตามพระญาณทั้งนั้น เพราะเป็นไปตามปุพเพนิวาสญาณ อนาคตตั้งส
ญาณ และสัพพัญญุตญาณ ฉะนี้ ฯ ก็เพราะกระทำอธิบายไว้
อย่างนี้ พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า "จิตนี้ ย่อม
บังเกิดในกาลที่สุดแห่งญาณทั้งหลายเหล่านั้น ที่ทรงประพฤติมาแล้ว " ฯ
เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะห้ามความเป็นไปแห่งหสิตุปบาทจิตนั้น