ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา - หน้าที่ 48
พึงทราบแม้ความที่กิริยาจิตเป็นจิตสหรคตด้วยโสมนัสตามสมควร โดย
นัยที่กล่าวแล้วในกุศลจิตนั่นแล ฯ สเหตุกศัพท์ ในคำว่า สเหตุกกามา-
วจรกุสลวิปากิริยาจิตฺตานิ นี้ เป็นวิเสสนะบ่งถึงวิบากและกิริยา
นี้
เพราะกุศลเป็นสเหตุกะโดยส่วนเดียว ฯ ด้วยว่าการประกอบตามที่จะพึง
ได้มีอยู่ ๆ เช่นในประโยคมีอาทิว่า (จะพึงเห็น) ทั้งก้อนกรวด
กระเบื้องถ้วยทั้งฝูงปลาเที่ยวอยู่ก็มี ตั้งอยู่ก็มี กิริยาที่เที่ยวทรงประกอบ
โดยทรงเล็งฝูงปลา เพราะก้อนกรวดและกระเบื้องถ้วยไม่ควรแก่
กิริยาที่เที่ยวฯ ประกอบความว่า กุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต
ฝ่ายกามาวจรสเหตุกะ ท่านประมวลมาแล้วรู้ได้ว่ามี ๒๔ โดยความ
ต่างแห่งเวทนา ญาณ และสังขาร เพราะแต่ละดวงมี ๒ อย่าง โดย
ความต่างแห่งเวทนา มี ๔ อย่างโดยความต่างแห่งญาณ และมี 4 อย่าง
โดยความต่างแห่งสังขาร ฯ มีคำถามสอดเข้ามาว่า ก็ความต่างกันแห่ง
เวทนาควรแน่ละ เพราะเวทนาเหล่านั้นมีสภาพต่างกัน แต่ความ
ต่างกันแห่งญาณและสังขารเป็นอย่างไร ? เฉลยว่า ความต่างกันแม้
อันความมีและความไม่มีแห่งญาณและสังขารกระทำแล้ว ก็ชื่อว่าเป็น
อันญาณและสังขารกระทำแล้ว เหมือนกับอุทาหรณ์ว่า ข้าวดี ข้าวเสีย
อันฝนกระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ความต่างกันอันญาณและสังขารกระทำ
แล้ว ชื่อว่าความต่างกันแห่งญาณและสังขาร เพราะฉะนั้น ในที่นี้
จึงไม่มีความผิดอะไร ฯ
บัดนี้ เพื่อจะประมวลแสดงกามาวจรจิตแม้ทั้งหมด ท่านอาจารย์
๑. ที. ส. ๘/๑๑๑ ฯ