ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 232
ที่เว้นจากเจตนาอันสหรคตด้วยอุทธัจจะ ๆ
มีคำถามว่า "อันเหตุอะไร ในคำนี้ว่า "อกุศลธรรมที่สหรคต
ด้วยวิจิกิจฉา แม้ทุรพลกว่าอกุศลกรรมทั้งหมด เพราะเว้นจากอธิโมกข์
ย่อมชักปฏิสนธิมา อกุศลกรรมที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ แม้มีกำลังกว่า
อกุศลกรรมที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉานั้น เพราะสัมประโยคด้วยอธิโมกข์
ย่อมไม่ชักปฏิสนธินั้นมา ?" แก้ว่า "เพราะไม่มีการให้ปฏิสนธิเป็น
สภาพ" ฯ ก็เฉพาะในกรรมมีการให้ปฏิสนธิเป็นสภาพ มีถ้อยคำที่ควร
พิจารณานี้ว่า "กรรมมีกำลัง ย่อมชักปฏิสนธิมา ที่ทุรพลไม่ชักปฏิสนธิ
มา" ฯ แต่กรรมใดไม่มีการให้ปฏิสนธิเป็นสภาพเลย ภาวะที่กรรมนั้นถึง
มีกำลัง ก็ไม่เป็นเหตุในการชักปฏิสนธิมาให้ ฯ มีคำถามสอดเข้ามาว่า
"ก็คำนี้ว่า "กรรมที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ไม่มีการให้ปฏิสนธิเป็นสภาพ"
ดังนี้ พวกเราจะพึงรู้ได้อย่างไร ?" แก้ว่า "รู้ได้ เพราะกรรม
ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ไม่มีในหมวดธรรมที่ทัสสนะจะพึงละ"
က
แท้จริง อกุศลธรรมมี ๓ คือ ธรรมอันทัสสนะพึงละอย่าง ๑ อันภาวนา
พึงละอย่าง ๑ บางทีอันทัสสนะพึงละ บางทีอันภาวนาจึงละอย่าง ๑ ฯ
[อธิบายอริยมรรคละอกุศลธรรม]
บรรดาอกุศลธรรม ๓ อย่างนั้น จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยทิฏฐิ
และสหรคตด้วยวิจิกิจฉา ชื่อว่าธรรมอันทัสสนะพึงละ เพราะความ
เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรค ซึ่งได้นามว่า "ทัสสนะ" ด้วยอำนาจ
เห็นพระนิพพานก่อน พึงละ ฯ จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ชื่อว่าธรรมอันภาวนาพึงละ เพราะเป็นธรรมที่มรรคชั้นยอดพึงละ 1