ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 105
และวิรัติแม้เหล่านั้น ไม่มีการเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทดวงเดียว เพราะ
อัปปมัญญามีสัตว์เป็นอารมณ์ และเพราะวิรัติมีวัตถุที่จะพึงก้าวล่วงเป็น
อารมณ์ ฉะนี้แล ฯ โลกกิยวิรัติ ไม่มีการสมภพในอัพยากตจิต เพราะ
โลกิยวิรัติมีสภาพเป็นกุศลโดยส่วน เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์จึง
ได้กล่าวว่า วิรติวชฺชิตา ฯ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
สิกขาบททั้ง ๕ เป็นกุศลอย่างเดียว ฯ ด้วยประการนอกนี้ (คือโลกย
วิรัติจะไม่พึงเป็นกุศลโดยส่วนเดียว) พระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสว่า โลกิย
วิรัติ เป็นกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี เหมือนศรัทธาและสติเป็นต้นฯ
แต่ที่โลกุตตรวิรัติเป็นกุศล โดยส่วนเดียว ไม่ทรงประกอบไว้ ก็เพราะ
ผลเป็นเช่นกับมรรค และเพราะผลระงับทุจริตและการเลี้ยงชีพผิดทาง
เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรงถือโลกุตตรวิรัติเหล่านั้น ในสิกขาบทวิภังค์นั้นๆ
ท่านอาจารย์กล่าวคำว่า อปฺปมญผยา วิรติวชฺชิตา ดังนี้ เพราะกามาวจร
วิบากมีกามาวจรเป็นอารมณ์โดยส่วนเดียว เพราะอัปปมัญญามีสัตว์เป็น
อารมณ์ และเพราะแม้วิรัติก็เป็นกุศลโดยส่วนเดียว ฯ
ท้วงว่า ก็กามารวจรกุศลแม้มีบัญญัติเป็นต้นอารมณ์ก็มี เพราะ
ฉะนั้น แม้วิบากของกามาวจรกุศลนั้นก็ควรมีอารมณ์เช่นเดียวกันกับกุศล
เปรียบเหมือนมหัคคตวิบากและโลกุตตรวิบาก ซึ่งมีอารมณ์เช่นกันกับ
กุศลมิใช่หรือ ? ฯ เฉลยว่า กามาวจรวิบากนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะ
กามาวจรวิบากเป็นผลของกามที่เนื่องด้วยกามตัณหาฯ เหมือนอย่างว่า
ลูกของนางทาสี ไม่สามารถจะทำสิ่งที่มารดาต้องการได้ จะทำได้แต่สิ่ง
ทีนายต้องการปรารถนาเท่านั้นฉันใด จิตที่เป็นวิบากของกามาวจรกรรม
મૈં