ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 46
เอา ๔ คูณ ด้วยอำนาจอธิบดี ๔ เป็นจิต ๕๖๐ ถ้วน ด้วยการคำนวณ
อย่างนี้ จึงรวมเป็นจิต ๑๖๘๐ ด้วยอำนาจอธิบดีฯ จิต ๑๖๘๐ เหล่านั้น
เอา ๓ คูณ ด้วยอำนาจกรรม ๓ คือกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
จึงเป็นจิต ๕๐๔๐ ฯ และจิต ๕๐๔๐ นั้น เอา ๓ คูณ โดยความ
ต่างแห่งทีนะ มัชฌิมะ และปณีตะ จึงเป็นจิต ๑๕๑๒๐ ๆ ส่วนคำที่
ท่านอาจารย์พุทธทัตตเถระกล่าวไว้ว่า
บัณฑิตพึงแสดงไขออกไปว่า กามาวจร
กุศลจิตมี ๑๒๒๘๐ ดังนี้ นั้น
บัณฑิตพึงเห็นว่า ท่านอาจารย์มิได้คำนึงถึงการคำนวณที่ลดไป
(ที่หักออก) ด้วยอำนาจอธิบดี กล่าวไว้ด้วยสามารถการนับอธิบดีที่
รวมไปในกระแสการคำนวณ ฯ แต่ว่า ความต่างกันแห่งกามาวจรจิต
เหล่านั้น โดยความต่างแห่งกาละและเทศะเป็นต้น ไม่สามารถจะประ
มาณ ได้เลย ฯ
[อธิบายคำว่ากุศลเป็นต้น]
จิตที่ชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่า ยังบาปธรรมอันน่าเกลียด
ให้สะเทือน คือให้หวั่นไหว หรือเพราะอรรถว่า เบียดเบียน คือ
รังควานบาปอันน่าเกลียดให้ปราศไป ๆ อีกอย่างหนึ่ง
จิตที่ชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่า ย่อมปั่น คือย่อมตัดบาปธรรม
ทั้งหลายที่บัณฑิตกล่าวกล่าวว่า กุสะ เพราะนอน คือเป็นไปในสันดาน
โดยอาการที่บัณฑิตเกลียด ๆ อีกอย่างหนึ่ง จิตที่ชื่อว่ากุศล เพราะ
อรรถว่า อันบุคคลพึงถือเอา คือพึงให้เป็นไปโดยภาวะ คือสหชาต