ข้อความต้นฉบับในหน้า
ભૈ
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 289
รูป ๕ อย่าง ชื่อโคจรคาฬิกรูป เพราะมีความเป็นธรรมชาต
อันวิญญาณตั้งอาศัยแล้ว รับอารมณ์นั้น ๆ เป็นสภาพฯ รูปนอกนี้
คือ รูป ๒๓ อย่าง ชื่อว่าอโคจรคาฬิกรูป เพราะไม่มีการรับอารมณ์ ฯ
ชื่อว่าวรรณะ ด้วยอรรถว่า อันจักขุพึงผล คือพึงเห็น ๆ ชื่อว่าโอชะ
ด้วยอรรถว่า ยังรูปให้เกิดในลำดับที่ตนเกิด ฯ รูป 4 อย่าง ชื่อว่า
อวินิพโภครูป เพราะไม่มีความพรากจากกันและกัน คือความเป็นไป
แยกจากกันเป็นอย่างๆ แม้ในอารมณ์บางอย่าง ฯ ถึงแม้มติของผู้ที่
ชอบพูดว่า ไม่มีกลิ่นเป็นต้นในรูปโลก ก็ถูกท่านอาจารย์ทั้งหลาย
คัดค้านเสียแล้ว ในปกรณ์นั้น ๆๆ อิติ ศัพท์ แม้ในคำว่า อิจฺเจว๋
นี้มีปการเป็นอรรถ ฯ ด้วย อิติ ศัพท์ที่ปการเป็นอรรถนั้น พระ
อนุรุทธาจารย์ประมวลความต่างแห่งรูปเป็นทุกนัย และติกนัยเป็นต้นมา
ไว้ทั้งหมด แม้ที่ยังไม่มาในปกรณ์อภิธัมมัตถสังคหะนี้
ท่านอาจารย์นึกตั้งปัญหาว่า "ก็เหตุมีกรรมเป็นต้นเหล่านั้น อะไร
เป็นสมุฏฐานแห่งรูปได้อย่างไร ที่ไหน และเมื่อไร ดังนี้ จึงได้กล่าว
คำมีอาทิว่า ตตฺถ ดังนี้ ฯ
บทว่า ปฏิสนธิมุปาทาย นั้น ความว่า เข้าถือเอา (คือเริ่มแต่)
อุปปาทขณะแห่งปฏิสนธิจิตฯ บทว่า ขณ ขณ ความว่า ในขณะ
แห่งจิตดวงหนึ่ง ๆ ซึ่งมีดวงละ ๓ ขณะ ฯ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
หาระหว่างคั่นมิได้ทีเดียว ฯ แต่อาจารย์พวกอื่นคัดค้านฐิติขณะแห่งจิต
และการเกิดขึ้นของรูปในภวังคขณะ ฯ ในข้อคัดค้านทั้ง ๒ นั้น เหตุผล
ในการไม่มีฐิติขณะของอาจารย์พวกนั้น และเรื่องที่จะพึงกล่าวใน