ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 367
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าจตุสังเขป ฯ เจตนาที่เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิต่อไป
ในอนาคต ชื่อภพ ในคำว่า กมุมภวสงฺขาโต ภูเวกเทโส นี้ ฯ
เจตนาในกรรมภพก่อน เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในภพนี้ บัณฑิตพึงทราบ
ว่า ชื่อว่าสังขาร ฯ คำว่า อวเสสา ได้แก่ ธรรมที่ท่านกล่าวไว้ตาม
อำนาจแห่งปัจจุบันผล ๓ อย่าง ด้วยสามารถแห่งหมวด ๕ มีวิญญาณ
เป็นต้นและชาติชรามรณะ ฯ ก็ธรรมมีวิญญาณเป็นต้นซึ่งนับเนื่องใน
อนาคต บัณฑิตพึงทราบว่าภพ ในคำว่า อุปปตฺติภวสงฺขาโต ภูเวกเทโส ฯ
ศัพท์ว่าส่วนหนึ่งแห่งภพ ท่านกล่าวไว้ เพราะแม้กรรมภพก็จะกล่าวด้วย
ภวศัพท์ฯ ท่านอาจารย์ทำในใจว่า อวิชชาเป็นมูลเหตุแก่ส่วนสุดเบื้องต้น
ตัณหาเป็นมูลเหตุแก่ส่วนสุดเบื้องปลาย จึงกล่าวว่า อวิชชาตณฺหาวเสน
เทว มูลานิ ดังนี้ ฯ
[อธิบายสังคหคาถา]
วัฏฏะย่อมดับลง โดยคับมูลแห่งวัฏฏะ กล่าวคืออวิชชาและ
ตัณหา คือ โดยมูลเหตุเหล่านั้นถึงความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ได้แก่
โดยความไม่เป็นไปของมูลเหตุเหล่านั้น อันสำเร็จแล้วโดยการตรัสรู้
สัจจะ ๆ ก็อวิชชาย่อมกลับเจริญขึ้นอีก เพราะความเกิดขึ้นแห่งอาสวะ
มีกามาสวะเป็นต้น แก่สัตว์ทั้งหลายผู้เปี่ยมด้วยโสกะเป็นต้น ผู้ซึ่งถูก
สมสลบ กล่าวคือชราและมรณะบีบคั้นเสมอ ๆ คือเนือง ๆ ฯ สมจริง
ดังคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสได้ว่า เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกิดฯ
ด้วยคำว่า อาสวะ เป็นต้นนี้ อาสวธรรมที่เป็นปัจจัยแม้แห่งอวิชชา