ข้อความต้นฉบับในหน้า
ๆ
l
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 421
ที่เป็นบาทเป็นต้นนั้น ฌานที่เป็นบาท เป็นอดีตเท่านั้น กายเป็นปัจจุบัน
อารมณ์นอกนั้นมีรูปเป็นต้น เป็นปัจจุบันบ้าง เป็นอนาคตบ้าง ฯ ส่วน
ทิพพโสต มีเสียงอย่างเดียวเป็นอารมณ์ ฯ ก็แล เสียงนั้นเป็นปัจจุบัน ฯ
พระอาจารย์ผู้รจนามหาอรรถกถากล่าวว่า ปรจิตตวิชชาญาณ มีจิตเป็นไป
ในกาล ๓ ในพวกกามาวจรจิตเป็นต้นดวงใดดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นไปในอดีต
๗ วัน และในอนาคต ๓ วัน เป็นอารมณ์ ฯ แต่พระอาจารย์ผู้รจนาอรรถ
กถาสังคหะกล่าวว่า ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ของปรจิตตวิชชา ดังนี้บ้าง ฯ
ถามว่า ก็ความที่ปรจิตตวิชชานั้น มีจิตปัจจุบันเป็นอารมณ์อย่างไร ?
อารมณ์ที่อาวัชชนะถือเอาแล้วเท่านั้น เป็นอารมณ์ของจิตที่ประกอบ
ด้วยฤทธิ์ตลอด ๗ วัน เมื่ออาวัชชนะทำจิตปัจจุบันเป็นอารมณ์แล้วดับไป
อยู่ แม้จิตของคนอื่นก็ดับเวลาเดียวกับอาวัชชนะนั้นเหมือนกัน เพราะ
ฉะนั้น ความที่อาวัชชนะและชวนะ มีอารมณ์อย่างเดียวกัน ด้วยอำนาจ
กาลไม่น่าจะพึงมีได้ ? อนึ่งเล่า ความที่ชวนและอาวัชชนะในวิถีอื่นจาก
มรรควิถีและผลวิถีมีอารมณ์ต่างกัน โดยประการไร ๆ ก็ตามที่ พระผู้มี
พระภาคเจ้าก็มิได้ทรงประสงค์เอาแล้ว ฯ แก้ว่า ในอรรถกถาท่านประ
กอบความที่ปรจิตตวิชชานั้นมีปัจจุบันจิต โดยสันตติและอัทธานะเป็น
อารมณ์ก่อนฯ ส่วนท่านอานันทาจารย์กล่าวว่า พระโยคาวจรออกจาก
ฌานที่เป็นบาทแล้ว ไม่จำแนกอารมณ์เป็นปัจจุบันเป็นต้น ทำบริกรรม
ว่า เราจะรู้จิตของคนนี้ ดังนี้ อย่างเดียวเท่านั้น แล้วเข้าฌานที่เป็น
บาทอีก ออกแล้วนึกถึงจิตโดยอาการไม่แปลกกันนั่นแล ในลำดับแห่ง
๑. กาญจีติ เกนจิ ปกาเรน การเณน วา