ข้อความต้นฉบับในหน้า
1 - หน้าที 343
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้
หาก พระผู้มีพระภาคอจ้าจึงทรงยกขันธ์ ๒ ขึ้น
แสดงไว้ ฯ
ท่านอาจารย์ทำไว้ในใจว่า ก็พระนิพพาน พระผู้มีพระภาค
ทรงสงเคราะห์ลงในอายตนะและธาตุ มิใช่หรือ ? เพราะเหตุไร จึงไม่
สงเคราะห์ลงในขันธ์ จึงได้กล่าวคำเป็นอาทิว่า เภทาภาเวน ดังนี้ ฯ
เพราะว่า การบัญญัติว่าขันธ์ โดยอรรถคือความประชุมกันแห่งธรรม
ทั้งหลายที่แตกต่างกัน โดยความต่างแห่งกาลมีอดีตกาลเป็นต้น เพราะ
ฉะนั้น พระนิพพานจึงนอกไป อธิบายว่า พ้นไปจากการ
สงเคราะห์เข้าในขันธ์ เพราะไม่มีการแยกประเภทฯ อายตนะมี ๑๒
โดยความต่างแห่งทวาร ๖ และอารมณ์มีจำนวนเท่านั้นเหมือนกันฯ
ธาตุมี ๑๘ โดยปริยาย คือโดยลำดับแห่งทวาร 5 อารมณ์ ๖ และ
วิญญาณซึ่งมีจำนวนเท่านั้นเหมือนกัน อันอาศัยทวารและอารมณ์ทั้ง ๒
อย่างนั้นเกิดฯ
วัฏฏะนี้มี ๓ กูมิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าติภูมะ ติภูมะนั่นแหละ
เป็นเตภูมิกะ ฯ ที่ชื่อว่าวัฏฏะ เพราะอรรถว่า เป็นที่เป็นไปแห่งกรรม
และผลแห่งกรรมนั้นๆ บทว่า ตณฺหา ได้แก่ ตัณหา ๓ อย่าง
ด้วยอำนาจกามตัณหาเป็นต้น, ตัณหาอีก ๑๘ อย่าง ด้วยอำนาจอารมณ์
๖, ตัณหา ๕๔ อย่าง ด้วยอำนาจอดีตกาล อนาคตกาล และปัจจุบัน-
กาล, และตัณหา ๑๐๘ ชนิด ด้วยอำนาจที่เป็นภายในและภายนอก ฯ
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร เมื่อมีธรรมเป็นเหตุแห่งทุกข์แม้อย่างอื่น
ตัณหาเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าสมุทัยฯ แก้ว่า เพราะเป็นเหตุ