ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 361
ก็ในบทว่า อุปาทานปจฺจยา ภโว นี้ แม้อุปปัตติภพท่านก็ประสงค์
เอา ฯ ในคำว่า ภวปจฺจยา ชาติ นี้ ท่านประสงค์เอากรมภพเท่านั้น ฯ
จริงอยู่ กรรมภพนั้น ย่อมเป็นปัจจัยแก่ชาติ ภพนอกนี้หาเป็นไม่ (อุปปัต
ติภพนอกนี้หาเป็นปัจจัยแก่ชาติไม่) ๆ จริงอยู่ อุปปัตติภพนั้นเป็นสภาวะ
แห่งขันธ์ที่เกิดทีแรก (เป็นความมีของขันธ์ที่เกิดมาทีแรก) จัดเป็น
ชาติทีเดียว (คือชาตินั่นเอง)ฯ ก็ธรรมชาติกล่าวคืออุปปัตติภพนั้น
นั่นแล เป็นเหตุแก่อุปปัตติภพนั้นไม่ควร ฯ การได้เฉพาะซึ่งอัตภาพ
ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ ในที่ทั้งหลายมีคติเป็นต้นนั้น
นั้น ๆ ชื่อว่าชาติฯ
ก็ภาวะแห่งอัตภาพที่เกิดมาแล้วอย่างนั้นเก่าแก่ไป ชื่อว่าชรา ฯ ความ
*สิ้นสุดลงแห่งอัตถภาพนั้นนั่นเอง ซึ่งกำหนดในภพหนึ่ง ชื่อว่ามรณะฯ
ความกรมเกรียมใจของคนที่ถูกทุกขธรรม (เหตุแห่งทุกข์) มีความ
เสื่อมญาติเป็นต้นถูกต้องแล้ว ชื่อว่าโสกะ ฯ ความบ่นพ้นด้วยวาจา
ของคนนั้นนั่นแล ชื่อว่าปริเทวะ ฯ ทุกขเวทนาเป็นไปทางกาย ชื่อว่า
ทุกข์ฯ ทุกขเวทนาเป็นไปทางใจ ชื่อว่าโสกะ ฯ ความบ่นเพ้อด้วยวาจา
ของคนนั้นนั่นแล ชื่อว่าปริเทวะ ทุกขเวทนาเป็นไปทางกาย ชื่อว่า
เหลือทน ซึ่งถูกทุกข์ทางใจมีประมาณยิ่งเสริมให้ทวีขึ้น ของคนผู้อัน
ทุกขธรรมมีความเสื่อมญาติเป็นต้นถูกต้องแล้ว ชื่อว่าอุปายาส ฯ
[อธิบายปฏิจจสมุปบาทเป็นปัจจัยกันและกัน]
ก็ในปฏิจจสมุปบาทนัยนี้ บัณฑิตพึงเห็นว่า เมื่อปัจจัยอื่นมีวัตถุและ
อารมณ์เป็นต้นแม้มีอยู่ การถือเอาปัจจัยแต่ละอย่าง ๆ มีอวิชชาเป็นต้น
เพราะความเป็นประธานและเพราะความปรากฏฯ ก็บรรดาปัจจัยมี