ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 244
ปานกลาง ชื่อว่ามัชฌิมฌาน ฌานที่บุคคลให้เกิดด้วยฉันทะเป็นต้น
ที่ประณีต ชื่อว่าปณีตฌาน ดังนี้แล ฯ พอทีไม่ต้องกล่าวให้ชักช้านัก ฯ
က
สองบทว่า ปญฺจมชฺฌานํ ภาเวตวา ความว่า บุคคลเจริญ
ปัญจมฌานแม้ทั้ง ๓ ที่ยังไม่ถึงความเป็นอภิญญา (ที่ยังไม่ได้ชื่อว่า
อภิญญา) (ย่อมเกิดในชั้นเวหัปผลา) ฯ แต่ว่า ปัญจมฌานที่ถึง
ความเป็นอภิญญา (ที่ได้ชื่อว่าอภิญญา) ไม่มีวิบาก ท่านอาจารย์
ให้สำเร็จแล้วด้วยคำว่า "อลทฺธา ตาทิส" เป็นอาทิ ฯ ส่วนท่าน
อาจารย์ทั้งหลายผู้แต่งมูลฎีกาเป็นต้น ให้ปัญจมฌานที่ถึงความเป็นอภิญญา
แล้วไม่มีวิบากนั้นสำเร็จ แม้โดยประการอย่างอื่น ๆ แต่คำของท่าน
อาจารย์ผู้แต่งมูลฎีกาเป็นต้นนั้น นักศึกษาจึงตรวจดูตามนัยที่ท่านกล่าว
ไว้แล้วในคัมภีร์นั้นๆ โดยสังเขป และในคัมภีร์อภิธัมมัตถวิกาสนีฎีกา
โดยพิสดาร ฯ
ในคำว่า สญฺญาวิราค์ ภาเวตตา นี้ มีอธิบายว่า พวกเดียรถีย์
ผู้มีปกติกล่าวการทำว่าเป็นกรรมนั่นแล เจริญภาวนาเครื่องสำรอก
อรูปธรรม ด้วยอำนาจการยังอรูปธรรมให้ถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นสภาพ
ในภพที่ตนควรได้ด้วยกำลังภาวนานั้น แล้วจึงเกิดขึ้นในจำพวกอสัญญี
สัตว์ ด้วยกำลังภาวนาที่เป็นไปในวาโยกสิณ หรือในอากาสกสิณที่
กำหนดแล้ว ตามมติของอาจารย์บางพวก โดยการชี้โทษความเป็นไป
แห่งอรูปธรรม และการกำหนดความเป็นของประณีตในความไม่มีแห่ง
อรูปธรรมเป็นไปนั้น โดยนัยเป็นต้นว่า "สัญญาเป็นดังโรค สัญญา
เป็นดังหัวฝี" หรือว่า "น่าติเตียนจิต จิตนี้หนอน่าติเตียนจริง" ดังนี้