อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา - บทที่ 35 อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา หน้า 35
หน้าที่ 35 / 442

สรุปเนื้อหา

เนื้อหาในบทนี้พิจารณาถึงแนวคิดเกี่ยวกับประสาทสัมผัสโดยเฉพาะจักขุและโสต ว่ามีบทบาทในการรับรู้และความรู้สึกต่อรูปและเสียง โดยเชื่อมโยงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลในความชอบและการรับรู้เป็นบทสนทนากับมาคันทิยะที่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของประสาทสัมผัส และตีความเกี่ยวกับศัพท์ที่ใช้ในพระอภิธรรมและอรรถกถา

หัวข้อประเด็น

-การรับรู้ทางประสาทสัมผัส
-จักขุและโสต
-คำสอนของพระพุทธเจ้า
-อภิธัมมวิทยา
-วิญญาณและธรรมชาติของความรู้สึก

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา - หน้าที่ 35 ที่ชื่อว่าจักขุ เพราะอรรถว่า เป็นตัวชี้แจง คือเป็นที่ตั้งอาศัยของ วิญญาณ จึงเป็นประหนึ่งคอยบอกอยู่ ทั้งรูปที่สม่ำเสมอ และรูปที่ไม่ สม่ำเสมอ ๆ อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่าจักขุ เพราะอรรถว่า เป็นตัวชอบ คือเป็นประหนึ่งชอบใจรูปฯ เพราะศัพท์ว่า จกฺขติ (ผึ้งชอบน้ำหวาน) พยัญชน์ จกฺขติ (คนชอบกับข้าว)ฯ เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึง ตรัสคำเป็นอาทว่า ดูก่อนมาคันทิยะ (ปริพาชก) จักขุแล มีรูปเป็น ที่มียินดี ยินดีแล้วในรูป อันรูปให้บันเทิงพร้อมแล้ว ฯ ท้วงว่า ถ้าเช่นนั้น โดยพระพุทธดำรัสเป็นต้นอาทิว่า ดูก่อนมาคันทิยะ โสตะแล มีเสียงเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในเสียง อันเสียงให้บันเทิงพร้อมแล้ว ดังนี้ แม้โสตะเป็นต้นก็มีความชอบในเสียงเป็นต้น เพราะฉะนั้น การที่ จะขนานนามโสตะเป็นต้นแม้นั้นด้วยศัพท์ว่าจักขุ ก็ย่อมถูกต้อง เฉลยว่า ไม่ถูก เพราะศัพท์ว่าจักขุ เป็นศัพท์จำกัดความ ๆ ที่จริง ศัพท์ว่า จักขุ นี้ จำกัดเฉพาะในจักขุประสาท อันมีลักษณะทำภูตรูปที่เกิดแต่กรรม อันมีความประสงค์จะดูเป็นเหตุให้ผ่องใสเท่านั้น ดุจศัพท์ว่า มยุร เป็นต้น จำกัดในนกพิเศษเป็นต้น ฉะนั้น ๆ ถึงแม้ก้อนเนื้อที่กำหนดด้วย กระดูกคิ้ว ท่านก็เรียกว่า จักขุ โดยเป็นไปร่วมกับจักขุ ฯ แต่ใน อรรถกถา พระอรรถกถาจารย์ ทำในใจว่า เพราะธา ๆ เพราะธาตุทั้งหลายมีอรรถ มากมาย แม้ จกฺขติ ศัพท์ มีอรรถว่า แสดง ก็มี จึงกล่าวว่า ธรรมชาติที่ชื่อว่าจักขุ เพราะอรรถว่า บอก คือแสงรูปให้แจ่มแจ้ง ๑. ม. ม. ๑๓/๒๗๒. ๒. สมฺโมหวิโนทนี ๔๘.
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More