ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 305
คำมีประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงนิพพาน จึงกล่าวคำเป็นต้น
ว่า นิพฺพานํ ปน ดังนี้ฯ ท่านอาจารย์แสดงความที่พระนิพพาน
เป็นธรรมชาตสำเร็จโดยประจักษ์แก่พระอริยบุคคลนั้น ๆ ด้วยคำว่า
ๆ
จตุมคฺคณาเณน สจฺฉิกาตพุฒิ (พึงกระทำให้แจ้งด้วยมรรคญาณ ๔) 1
แสดงความที่พระนิพพานสำเร็จโดยอนุมานแก่พวกกัลยาณปุถุชน ด้วย
บทนี้ว่า มคฺคผลานมาลมุพนภูติ (นิพพานเป็นอารมณ์ของมรรคและ
ผล) ฯ พระนิพพานสำเร็จ (แก่กัลยาณปุถุชน) ก็โดยอนุมานว่า เพราะ
ญาณที่มีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี มีบัญญัติเป็นอารมณ์ก็ดี ย่อมไม่สามารถ
ในการตัดกิเลสขาดเด็ด และระงับได้ ทั้งการตัดกิเลสขาดเด็ดได้
เป็นต้นเล่า ก็มีอยู่ในโลก เพราะฉะนั้น ธรรมอย่างหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม
กับสังขตะและสมมติธรรม เป็นอารมณ์ของมรรคและผล ซึ่ง (ต่างก็)
ทำหน้าที่ตัดกิเลสขาดเด็ดและระงับซ้ำ (เรียก) ชื่อว่านิพพาน (นั้น)
จึงมีได้ ดังนี้ ฯ ก็ท่านอาจารย์คัดค้านวาทะของพวกนักปฏิบัติผิด โดย
ทึกทักเอาว่า "เพียงความไม่มี ก็เป็นนิพพาน" ด้วยการแสดงความ
สำเร็จโดยประจักษ์และโดยอนุมาน เพราะฉะนั้น พอกันทีไม่ควรจะ
ชักช้าเกินไป ฯ
ธรรมชาตที่ชื่อว่านิพพาน เพราะออกจากตัณหา กล่าวคือ
เพราะร้อยรัด คือเย็บไว้ ซึ่งธรรมอันเป็นไปในไตรภูมิ ต่างโดยขันธ์
เป็นต้น ด้วยสามารถเป็นไปทั้งเบื้องต่ำและเบื้องบน
กังเบื้องต่ำและเบื้องบน คือเพราะล่วงเลย
จากตัณหาชื่อวานะนั้นไป ด้วยสามารถก้าวล่วงวิสัย (แห่งตัณหา) ฯ
บทว่า สภาวโต ความว่า โดยลักษณะ คือความสงบของตน ฯ