ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา - หน้าที่ 95
นั้นก็คงเป็นไปโดยอาการนั้นนั่นเอง ฯ ธรรมชาติที่ชื่อว่ามุทิตา เพราะ
อรรถว่า เป็นเครื่องแสดงความยินดีแห่งชน ฯ มุทิตานั้นมีการชื่นช
สมบัติของคนอื่นเป็นลักษณะ ฯ เจตสิกทั้ง ๒ ชื่อว่าไม่มีประมาณ เพราะ
มีสัตว์ไม่มีประมาณเป็นอารมณ์ ฯ อัปปมาณานั้นนั่นแล ชื่อว่าอัปป
มัญญาฯ ถามว่า ก็ท่านอาจารย์จักกล่าวว่า อัปปมัญญามี ๔ มิใช่หรือ
ก็เพราะเหตุไร ในอธิการแห่งการแสดงลักษณะเจตสิกนี้ ท่านจึงกล่าว
(อัปปมัญญา) ไว้เพียง ๒ เท่านั้น ฯ แก้ว่า (ท่านกล่าวไว้เพียง ๒
เท่านั้น) เพราะเมตตาและอุเบกขา พระผู้มีพระภาคทรงถือเอาด้วย
อโทสะ และตัตรมัชฌัตตตา (ความไม่โกรธ และความเป็นกลางใน
ธรรมนั้น ๆ)ฯ จริงอยู่ อโทสะนั่นเอง ที่เป็นไปด้วยอำนาจอัธยาศัย
เกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าเมตตาฯ ความเป็นกลางในธรรมนั้น ๆ
ที่เป็นไปด้วยอำนาจระงับความขัดเคืองและยินดีในสัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า
อุเบกขาฯ ด้วยเหตุนั้น โบราณบัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า
ก็เพราะพระผู้มีพระภาคทรงถือเอาเมตตา
ด้วยความไม่พยาบาท และอุเบกขาด้วย
ความเป็นกลางในธรรมนั้นๆ ฉะนั้น
(ในที่นี้) ท่านอาจารย์จึงไม่ถือเอาทั้ง ๒
อย่าง ฯ
[อธิบายปัญญาเจตสิกเป็นต้น]
ธรรมชาติที่ชื่อว่าปัญญา ด้วยอรรถว่า ย่อมรู้โดยประการ คือรู้
ชัดด้วยอำนาจอนิจจลักษณะเป็นต้นฯ ปัญญานั้นแล ชื่อว่าเป็นใหญ่