ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 21
ธรรมชาติที่ชื่อว่าเจตสิก เพราะอรรถว่า มีในจิต โดยมีความเป็นไป
เนื่องด้วยจิตนั้น ๆ ความจริง เจตสิกนั้น เว้นจากจิตเสีย ไม่สามารถ
จะรับอารมณ์ได้ เพราะเมื่อจิตไม่มีก็เกิดขึ้นไม่ได้ทั้งหมด ฯ ส่วนจิต
แม้เว้นจากเจตสิกบางประการ ก็ยังเป็นไปได้อารมณ์ เพราะฉะนั้น
เจตสิกนั่นแหละ จึงชื่อว่ามีความเป็นไปเนื่องกับจิต ฯ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน ดังนี้ 1
ด้วยบทว่า ทายาตวุฒิติตาย นี้ ท่านห้ามแม้ซึ่งความปฏิบัติผิด มี
ความที่สุขเวทนาเป็นต้นเป็นสภาพหาเจตนามิได้ และเป็นสภาพเที่ยง
เป็นต้นฯ อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติที่ประกอบในจิต ชื่อว่าเจตสิก ฯ
[ลักษณะรูปและนิพพาน]
નૂ
ธรรมชาติที่ชื่อว่ารูป เพราะอรรถว่าแปรผัน (สลาย) อธิบายว่า
ย่อมถึงความวิการด้วยวิโรธปัจจัย มีเย็นและร้อนเป็นต้น หรืออันวิโรธ
ปัจจัย มีเย็นและร้อนเป็นต้น ให้ถึงความวิการ ฯ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ย่อมแปรผันเพราะเย็นบ้าง ย่อมแปรผัน
เพราะร้อนบ้าง ดังนี้ เป็น อาทิ ฯ ความเกิดขึ้นผิดแผกกัน ในเมื่อมี
ความประชุมแห่งวิโรธิปัจจัยมีเย็นเป็นต้น ชื่อว่าความแปรผันในที่นี้ ฯ
มีคำประท้วงสอดเข้ามาว่า ถ้าเช่นนั้น แม้อรูปธรรมก็บัญญัติว่า รูป
ได้ฯ เฉลยว่า ไม่ได้ เพราะท่านประสงค์เอาความแปรผันที่ปรากฏ
ชัดๆ โดยความสามารถแห่งศัพท์ มี สีต ศัพท์เป็นต้นฯ เมื่อจะ
ถือเอาเนื้อความโดยประการอื่น ความแปรผันก็สำเร็จด้วยคำอันไม่ต่าง
๑. ขุ. ธ. ๒๕/๑๕ ๒. สํ. ขนฺธ. ๑๓/๑๐๕
ๆ