ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 401
พิจารณาไตรลักษณ์ ด้วยสัมมสนญาณว่า นามรูปไม่เที่ยง เพราะ
อรรถว่า สิ้นไป เป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า น่ากลัว เป็นอนัตตา
เพราะอรรถว่า ไม่มีสาระแก่นสาร ด้วยอำนาจอัทธานะ (กาล)
หรือด้วยอำนาจสันตติ (ความสืบต่อ) หรือด้วยอำนาจขณะ และตาม
เห็นความเกิดขึ้นและความสิ้นไปในสังขารเหล่านั้นนั่นแล ด้วยอุท
ยัพพยญาณ โดยอำนาจแห่งปัจจัย และโดยอำนาจแห่งขณะจิต ชื่อว่า
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ ก็วิปัสสนาญาณทั้ง ๕ ของพระโยคา
วจรนั้น ผู้พ้นจากอันตรายอย่างนั้น ปฏิบัติไตรลักษณ์อยู่ด้วยความ
สืบต่อแห่งวิปัสสนา จำเดิมแต่อุทัพพยญาณ จนกระทั่งถึงอนุโลมญาณ
ชื่อว่าปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ ก็เมื่อพ
ก็เมื่อพระโยคาวจรนั้นปฏิบัติอยู่อย่างนี้
วิปัสสนจิต ๒-๓ ดวง ปรารภลักษณะมีอนิจลักษณะเป็นต้น อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นไป โดยชื่อว่าบริกรรม อุปาจาร และอนุโลม
ในลำดับแห่งมโนทวาราวัชชนะ ซึ่งอาศัยความแก่รอบแห่งวิปัสสนา
(คือสังขารุเบกขาญาณ) ตัดภวังค์ขาดแล้ว เกิดขึ้นในขณะที่จะพึง
กล่าวว่า อัปปนาจักเกิดในบัดนี้ ฯ วิปัสสนาใด ถึงยอดสุด วิปัสสนา
นั้น ท่านเรียกว่า สานุโลมา ว่าสังขารุเบกขา และว่าวุฏฐานคามินี-
วิปัสสนาฯ เบื้องหน้าแต่นั้น โคตรภูจิตหน่วงพระนิพพานเป็น
อารมณ์คาอบงำโคตรปุถุชนเสีย และย่างขึ้นสู่โคตรพระอริยบุคคล
ย่อมเป็นไป ฯ ในลำดับแห่งโคตรภูจิตนั้น มรรคกำหนดรู้ทุกขสัจ
๑. ฉบับพม่าและสีหลเป็น ยา สิขาปฺปตฺตา สา สานุโลมา สงฺขารุเปกขา วุฏฐาคามินีวิปสฺสนาติ
จ ปวุจฺจตฯ
๒. อีกนัยหนึ่งว่า มรรคย่อมหยั่งลงสู่อัปปนาวิถี ด้วยอำนาจที่กำหนดรู้ทุกขสัจ ละสมุทยสัจ
ทำนิโรธสัจให้แจ้ง เจริญมัคคสัจ ฯ