ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 272
อันโคจรรูปมีวรรณะเป็นต้นคอยแวดล้อม ให้สำเร็จความเป็นวัตถุและ
ทวารแห่งวิถีจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น เป็นไปตามสมควร ฯ ส่วนนอก
นี้เรียกว่าสสัมภารจักขุ (จักขุอุปกรณ์) ฯ แม้โสตประสาทเป็นต้น
ก็เหมือนกัน ซึมซาบตลอดประเทศมีอาการดังวงแหวน มีขนแดง
เล็กงอกขึ้นแล้ว ภายในช่องโสตะ ซึมซาบตลอดประเทศมีสัณฐาน
ดังกีบแพะ ภายในช่องนาสิก ซึมซาบตลอดประเทศมีสันฐานดังปลาย
กลีบอุบล ในท่ามกลางชิวหา เป็นไปตามลำดับ ฯ ส่วนกายประสาท
นอกนี้แผ่ไปตลอดสรีระทุกส่วนที่เหลือลง เว้นแต่ที่ตั้งแห่งเตโชธาตุ
เกิดแต่กรรม และปลายผม ปลายขน ปลายเล็บ และหนังอันผาก ฯ
แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ กายประสาทนั้นก็ไม่ปะปนกับประสาทรูปนอกนี้
เพราะมีลักษณะต่างกัน ๆ จริงอยู่ โคจรรูปมีรูปและรสเป็นต้น แม้มี
ที่อาศัยร่วมกัน ก็ไม่ปะปนกันก่อน เพราะความต่างแห่งลักษณะ ฯ
ส่วนพวกประสาทมีที่อาศัยต่างกัน จะปะปนกันอย่างไร ๆ เพราะอาโป-
નૂ
ๆ
ธาตุอันชาวโลกไม่สามารถสัมผัสได้ โดยเป็นธาตุละเอียด ท่านอาจารย์
จึงได้กล่าวไว้ว่า รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ กล่าวคือภูตรูป
ทั้ง ๓ เว้นอาโปธาตุ ชื่อว่าโคจรรูปฯ ความเป็นของเย็นชาวโลกจะ
ถูกต้องจับได้ก็จริง ถึงอย่างนั้นได้ ก็เพราะความรู้สึกว่าเย็นเป็นของ
ก็เมื่อความร้อนมีน้อย จึงรู้สึกกว่าเย็น เพราะคุณค่าอะไร กล่าวคือความ
เย็นไม่มี ฯ โลกจะรู้ความร้อนนี้นั้นได้ ก็เพราะความรู้สึกว่าเย็นเป็นของ
ไม่แน่นอน ประดุจความไม่แน่นอนในฝั่งโน้นหรือฝั่งนี้ฉะนั้น ๆ
จริงอย่างนั้น ในฤดูร้อน คนยืนอยู่ที่แดดแล้วเข้าไปสู่ร่มเงา จะรู้สึกว่า