ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 377
ปัจจัยแก่นามโดยอาการ ๒ อย่าง คือโดยประการ ๒ อย่าง ๑ ฯ อนึ่ง
ทั้ง ๒ อย่าง คือนามรูปทั้ง ๒ ที่ปัจจัยให้เกิดขึ้น (ที่เป็นไปร่วมกัน)
ย่อมเป็นปัจจัยแก่ทั้ง ๒ อย่าง คือแก่นามรูปทั้ง ๒ เช่นนั้นนั่นแล โดย
อาการ 8 อย่าง ๑ ฯ ปัจจัยทั้งหลายตั้งอยู่โดยอาการ 5 อย่าง ดังพรรณนา
มาด้วยประการอย่างนี้ ฯ
อัพยากตชวนวิบาก ถึงความเป็นวิบากด้วยอำนาจแห่งกรรม ถูก
กำลังกรรมซัดไป เป็นไปประดุจตกลง ยึดสภาพของตนไว้ได้ เจริญแล้ว
ไม่ให้วิบากอื่นเป็นไป และไม่ยึดอานุภาพแห่งวิบากเดิมเกิด, ก็บรรดา
อเหตุกกิริยาจิต อาวัชชนะทั้ง ๒ ย่อมไม่เป็นอาเสวนปัจจัย เพราะยก
หสิตุปบาทจิตอย่างเดียวขึ้นเป็นอาเสวนะ โดยพระบาลีว่า ในอาเสวนะ
เพราะภาวะแห่งธรรมที่ไม่ใช่มรรคเป็นปัจจัย จึงได้ปัญหาพยากรณ์ไว้
ข้อ ๑ ดังนี้ เพราะฉะนั้น ชวนะทั้งหลายจึงถึงความเป็นอาเสวน
ปัจจัย พระอนุรุทธาจารย์ลงสันนิษฐาน ดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
ปุริมานิ ชวนานิ ฯ ก็เมื่อในอาทิพจน์นี้ มีคำที่ไม่พิเศษอยู่ บัณฑิต
พึ่งเห็นกุศลชวนะ อกุศลชวนะ และอัพยากตชวนะ เฉพาะฝ่ายโลกิยะ
เท่านั้น เพราะไม่ได้ยกโลกุตตรชวนะขึ้นเป็นอาเสวนปัจจัย ฯ ก็เพราะ
ทำอธิบายไว้อย่างนี้ ในอรรถกถาปัฏฐานจึงกล่าวไว้ว่า แต่ฝ่ายโลกุตตร
ชวนะ ที่ชื่อว่าเป็นอาเสวนปัจจัยไม่มีฯ แท้จริง บรรดาโลกุตตระนั้น
กุศลที่เป็นโลกุตตระ ไม่ยังผลจิตนั้นให้ถือเอาซึ่งคุณคืออาเสวนะ เพราะ
ตนเป็นชวนะไปในเบื้องหน้าแห่งผลจิตที่มีชาติต่างกัน ฯ ก็ผลจิตแม้
บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจชวนะ ก็ไม่ถือเอาอาเสวนะโดยนัยที่กล่าวแล้ว ใน