ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 235
สหรคตด้วยอุทธัจจะนี้ พระผู้มีพระภาคทรงยกขึ้นไว้ ไม่ได้หมายถึงการ
ให้ปฏิสนธิเลย โดยที่แท้ ทรงยกขึ้น หมายถึงวิบากในปวัติกาล" ฯ
อนึ่ง ในคัมภีร์ปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคทรงยกภาวะแห่งกรรมปัจจัย
ที่เกิดด้วยกัน ทั้งที่เป็นไปในขณะต่าง ๆ กัน แห่งเจตนาอันทัสสนะ
พึงละนั่นแลว่า "เจตนาอันทัสสนะพึงละ ที่เกิดด้วยกัน เป็นปัจจัย
แห่งรูปทั้งหลาย ที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน โดยเป็นกรรมปัจจัย เจตนา
ที่เป็นไปในขณะต่าง ๆ กัน อันทัสสนะพึงละ เป็นปัจจัยแห่งวิบากขันธ์
และแห่งกตัตตารูปทั้งหลาย โดยเป็นกรรมปัจจัย" ดังนี้ แล้วทรงยก
เฉพาะความที่เจตนาอันภาวนาพึงละ เป็นกรรมปัจจัยที่เกิดร่วมกันว่า
"เจตนาที่เกิดร่วมกัน อันภาวนาจึงละ เป็นปัจจัยแห่งรูปทั้งหลาย ที่
มีจิตเป็นสมุฏฐาน โดยเป็นกรรมปัจจัย," แต่ภาวะแห่งกรรมปัจจัย
ที่เป็นไปในขณะต่าง ๆ กัน มิได้ทรงยกขึ้นไว้ฯ ก็เจตนากรรมที่
สหรคตด้วยอุทธัจจะนั้น เว้นกรรมปัจจัยที่เป็นไปในขณะต่าง ๆ กัน
เสีย จะชักปฏิสนธิมาไม่ได้ เพราะฉะนั้น เจตนากรรมที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะนั้น จึงให้ปฏิสนธิไม่ได้ แม้โดยประการทั้งปวง (ดังที่กล่าว
แล้วในบาลี) ดังนี้แลฯ
ඝ
ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่ง กล่าวคำอันใดไว้ว่า "เจตนาที่สหรคต
ด้วยอุทธัจจะ ย่อมไม่ให้แม้ซึ่งวิบากทั้ง ๒ เพราะภาวะแห่งกรรมปัจจัย
ที่เป็นไปในขณะต่าง ๆ กัน พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงยกขึ้นไว้ในคัมภีร์
ปัฏฐาน" ฯ คำนั้น เป็นเพียงมติของอาจารย์เหล่านั้น เพราะวิบาก
ในปวัติกาลแม้แห่งเจตนากรรมที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ พระองค์ทรงยก