ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 379
เจตนาที่เกิดด้วยกัน โดยที่สุกแม้กับจักขุวิญญาณเป็นต้น ๆ คำว่า
สหชาตานํ นามรูปาน คือ เจตนาแม้ทั้งหมดย้อมเป็นปัจจัยแก่นาม
เจตนาที่สหรคตด้วยปฏิสนธิ ย่อมเป็นปัจจัยแก่รูปซึ่งมีกรรมเป็นสมุฏ
ฐาน และเจตนาที่สหรคตด้วยจิตซึ่งยังรูปให้เกิดในปวัติกาล เป็น
ปัจจัยแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน (ด้วยอำนาจแห่งกรรมปัจจัย)ฯ คำว่า
นานากฺขณิกา เจตนา ได้แก่ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาซึ่งบั
งบังเกิด
ในภพทั้งหลาย มีภพที่ล่วงแล้วเป็นต้น ในขณะต่าง ๆ กัน จากขณะ
แห่งวิบากฯ บทว่า นามรูปาน คือ เจตนาเกิดต่างขณะกัน ย่อม
เป็นปัจจัยแก่นามรูป ในปฏิสนธิกาลและปวัติกาลแม้ทั้ง ๒ ฯ บทว่า
วิปากกฺขนฺธา ได้แก่ อรูปขันธ์ที่เป็นวิบากมีปฏิสนธิวิญญาณเป็นต้นฯ
จริงอยู่ รูปแม้มีกรรมเป็นสมุฏฐานก็ไม่ได้โวหารว่าวิบาก เพราะศัพท์
ว่า วิบาก นิยมใช้เฉพาะในอรูปธรรมที่แม้นกับกรรม โดยเป็นอรูป
ธรรม และโดยเป็นธรรมมีอาลัมพนะเท่านั้น ฯ คำว่า ปุเรชาตสฺส
อิมสฺส กายสฺส ความว่า (นามปัจจัย) แก่รูปกายนี้ ซึ่งเกิด
ก่อนแต่ปัจจยธรรม (ธรรมเกิดจากปัจจัย) ฯ
ถามว่า ก็เมื่อปัจจุบันธรรมมีการเกิดก่อน ความเป็นปัจจัยแก่
ธรรมซึ่งเกิดภายหลัง จะมีได้อย่างไร ? แก้ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้
แล้วมิใช่หรือว่า เมื่อไม่มีปัจฉาชาตปัจจัย (ธรรมคือจิตและเจตสิกซึ่ง
เกิดภายหลังเป็นเครื่องค้ำจุน โดยเป็นการอุปถัมภ์) แก่ร่างกายซึ่งยัง
ไม่ถึงความเป็นเหตุแห่งความตั้งอยู่ของสันดาน (ความสืบต่อ) เพราะ
ฉะนั้น ปัจฉาชาตปัจจัยนี้ มีความขวนขวายในการค้ำจุน โดยความเป็น