ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 403
หมาย) จัดเป็นวิโมกขมุข ฯ ทุกขานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นโดย
เป็นทุกข์) ละความตั้งลง (หรือความมุ่งมาด) คือ ตัณหาเสียได้
ชื่อว่าอัปปณิหิานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นโดยไม่มีที่ตั้ง) จัดเป็น
วิโมกขมุขฯ เพราะฉะนั้น มรรคจึงได้ชื่อ ๓ อย่าง ด้วยอำนาจแห่ง
วิปัสสนาเป็นเหตุมา (เป็นเหตุบรรลุ) คือ ถ้าวุฏฐานคามินีวิปัสสนา
เห็นแจ้งโดยมิใช่ตน มรรคก็ชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ ๑, ถ้าเห็นแจ้งโดย
ไม่เที่ยง มรรคก็ชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ๑, ถ้าเห็นแจ้งโดยเป็นทุกข์
มรรคก็ชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ๑ ฯ และผลก็มีชื่อว่าอย่างนั้น ย่อมมี
ในมรรควิถี ด้วยอำนาจแห่งมรรคเป็นเหตุมร (เป็นเหตุบรรลุ) ฯ
ก็ผลแม้ที่เกิดขึ้นตามหน้าที่ของตนแก่เหล่าพระโยคีผู้เห็นแจ้งอยู่ โดย
นัยตามที่กล่าวแล้ว ในวิถีแห่งผลสมาบัติ ท่านก็เรียกว่าวิโมกข์ มี
สุญญตวิโมกข์เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาเป็นเหตุมาเหมือนกัน ฯ
ส่วนชื่อทั้ง ๓ เหมือนกันทีเดียว แก่มรรคและผลแม้ทั้งหมด ทั้งใน
มรรควิถี และผลสมาบัติวิถีทุกอย่าง ด้วยอำนาจอารมณ์และด้วยอำนาจ
กิจของตน ฯ
นี้เป็นความต่างแห่งวิโมกข์ ในอธิการแห่งวิโมกข์นี้
[ประเภทบุคคล]
ก็บรรดาพระอริยบุคคลเหล่านี้ พระอริยาบุคคลผู้มีชื่อว่าโสดาบัน
มีการไปอบายอันละเสียได้แล้ว มี ๒ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะเจริญ
โสดาปัตติมรรคแล้วละทิฏฐิและวิจิกิจฉาเสียได้ ฯ มีชื่อว่าสกิทาคาสี
เพราะเจริญสกิทาคามิมรรค แล้วทำราคะ โทสะ และโมหะให้เบา