ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 368
ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ฯ โดยประการที่แสดงปัจจัย
แห่งอวิชชชานอกนี้ จักรคือปฏิจจสมุปบาทก็จะพึงเป็นของไม่เกี่ยวโยง
กันแลฯ พระมหามุนี คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแต่งตั้ง คือ
บัญญัติวัฏฏะ คือธรรมชาตที่เป็นไตรวัฏตามอำนาจแห่งกิเลส กรรม
และวิบาก ซึ่งเป็นไปเนืองนิจคือไม่ขาดสาย ไม่มีเบื้องต้น คือปราศจาก
เบื้องต้น ชื่อว่าเตภูมิกะ (เป็นไปในภูมิ ๓) เพราะนับเนื่องใน
๓ ภูมิว่า ปฏิจจสมุปบาท ด้วยประการอย่างนี้ คือโดยนัยที่กล่าวแล้ว
อย่างนี้ ฯ
ค
[อธิบายปัฏฐานนัยปัจจัย ๒๔ มีเหตุปัจจัยเป็นต้น]
ท่านอาจารย์ครั้นแสดงปฏิจจสมุปบาทนัย โดยวิภาคอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อแสดงปัฏฐานนัย จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า เหตุปจฺจโย ฯ
พึงทราบวินิจฉันในคำวา เหตุปจฺจโย เป็นต้นนั้น ปัจจุบันธรรมย่อม
ตั้งอยู่ คือประดิษฐานอยู่ ด้วยปัจจัยนั้น เพราะเหตุนั้น ปัจจัยนั้นจึงชื่อ
ว่าเหตุฯ หิ ศัพท์ บัณฑิตพึงทราบว่า มีอรรถว่า ตั้งอยู่ ในที่นี้
เพราะศัพท์คือธาตุมีอรรถมากมาย ฯ อีกอย่างหนึ่ง ผลที่มีความโลภ
เป็นต้นนั้นเป็นปัจจัย ย่อมเป็นไป คือดำเนินไป ได้แก่เป็นไปได้
“คือถึงความเจริญงอกงาม ก็ด้วยปัจจัยมีความโลภเป็นต้นนั้น ซึ่งเป็น
เหตุแห่งกรรม ดุจต้นไม้ถึงความเจริญงอกงามด้วยรากที่ดูดอาหาร
(โอชะ) ขึ้นไปข้างบน เพราะฉะนั้น ปัจจัยมีความโลภเป็นต้นนั้น
จึงชื่อว่าเหตุฯ เหตุนั้นด้วย เป็นปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า