ข้อความต้นฉบับในหน้า
-
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 397
อรูปฌาน) ได้ ฉะนี้แล
ๆ
‹
นี้เป็นความต่างแห่งภาวนา ในอธิการแห่งกรรมฐาน ๔๐ นิ้ว ฯ
[นัยกรรมฐาน ๔๐]
ก็ในนิมิตทั้งหลาย บริกรรมนิมิต และอุคคหนิมิต ย่อมได้ใน
กรรมฐานแม้ทุกอย่างทีเดียว โดยปริยาย ตามสมควร ฯ ส่วนปฏิภาค -
นิมิต ได้เฉพาะในกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปา
นัสสติ ๑ ฯ จริงอยู่ อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ปรารภปฏิภาคนิมิต
ในกรรมฐาน ๒๒ นั้น เป็นไป ๆ คืออย่างไร ๆ คือว่า ก็เมื่อ
พระโยคาวจร ผู้อาทิกัมมิกะถือเอานิมิตในกสิณมีมณฑลแห่งปฐวีกสิฯ
เป็นต้น อารมณ์นั้น ท่านเรียกว่า ปริกรรมนิมิต และภาวนานั้น
ชื่อว่าบริกรรมภาวนาฯ ก็แล นิมิตนั้นเป็นสิ่งที่จิตกำหนดได้ดีแล้ว
มาสู่คลองแห่งมโนทวาร เหมือนดูด้วยตาในเวลาใด อารมณ์นั้นนั่นแล
ชื่อว่าเป็นอุคคหนิมิต และภาวนานั้นย่อมตั้งมั่นในเวลานั้น ๆ ก็เมื่อ
พระโยคาวจรนั้นมีใจตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างนั้นแล้ว ตามประกอบ
ภาวนาด้วยบริกรรมสมาธิ ในอุคคหนิมิตนั้น สืบต่อจากนั้น ใน
เวลาใด อารมณ์ที่สำเร็จด้วยภาวนา กล่าวคือบัญญัติพ้นจากวัตถุธรรม
ปรากฏเหมือนกสิณนั้น สงบนิ่งแนบสนิทในจิต ในเวลานั้น ท่าน
เรียกว่า ปฏิภาคนิมิตบังเกิดแล้วฯ จำเดิมแต่นั้นนั่นแล อุปจารภาวนา
กล่าวคือกามาวจรสมาธิ ละอันตรายเสียได้ จัดว่าสำเร็จแล้วฯ
ન
ต่อจากนั้น เมื่อพระโยคาวจรเสพปฏิภาคนิมิตนั้นนั่นแลสม่ำเสมอ
ด้วยอุปจารสมาธิ รูปาวจรปฐมฌาน ย่อมสำเร็จได้ฯ ต่อจากนั้น