ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 404
บางลง มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ๆ มีชื่อว่าอนาคามี เพราะ
เจริญอนาคามิมรรคแล้ว ละกามราคะและพยายามได้เด็ดขาด ไม่มา
สู่ความเป็นอย่างนี้อีก ฯ มีชื่อว่าอรหันต์ เพราะเจริญอรหัตตมรรคแล้ว
ละกิเลสได้เด็ดขาด ไม่มีเหลือ สิ้นอาสวะเป็นยอดพระทักขิไณยบุคคล
ในโลก ฯ
นี้เป็นความต่างแห่งบุคคล ในอธิการว่าด้วยบุคคลนี้ ฯ
[ประเภทสมาบัติ]
ก็บรรดาสมาบัติเหล่านี้ ผลสมาบัติย่อมทั่วไปแม้แก่พระอริยบุคคล
ทั้งสิ้น ด้วยอำนาจผลตามที่เป็นของตน ๆฯ แต่การเข้านิโรธสมาบัติ
ย่อมมีได้แก่พระอนาคามี หรือพระอรหันต์เท่านั้น ๆ ในการเข้านิโรธ
สมาบัตินั้น พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ เข้ามหัคคตสมาบัติมี
ปฐมฌานเป็นต้น ออกแล้วพิจารณาสังขารธรรมที่เป็นไปในสมาบัตินั้น
เห็นชัดเจนอยู่ในสมาบัตินั้น ๆ นั่นแล ตามลำดับ ดำเนินไปจนถึง
อากิญจัญญายตนะ ต่อจากนั้น กระทำบรพกิจมีการอธิษฐานเป็นต้น
แล้วเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯ ข้างหน้าอัปปนาชวนะทั้ง ๒ ของ
เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น จิตตสันตติ (ความสืบต่อแห่งจิต) ก็
ขาดลง ๆ ต่อจากนั้น ท่านชื่อว่าเป็นผู้เข้านิโรธแล้วฯ ก็แลในเวลา
ออก สำหรับพระอนาคามี อานาคามิผลจิต และสำหรับพระอรหันต์
อรหัตตผลจิต เป็นไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็เป็นภวังคบาต (จิตตก
ภวังค์) เทียวฯ ต่อจากนั้น ปัจจเวกขณญาณทั้งหลาย ย่อมเป็นไป
ฉะนี้แล ฯ