ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 299
ถามว่า ก็กลาป ๒๑ เหล่านี้ แม้ทั้งหมด ย่อมมีได้ในทุก ๆ หมวด
หรือว่าบางกลาปมีได้ในบางหมวด ดังนี้ ท่านอาจารย์จึงได้กล่าวคำว่า
ตตฺถ เป็นต้น ฯ
บัดนี้ เพื่อจะแสดงประวัติแห่งรูปตามที่กล่าวแล้วเหล่านั้น (หรือ
แห่งกลาปเหล่านั้น) ด้วยสามารถแห่งความเกิด ด้วยสามารถแห่งปวัติ
กาลและปฏิสนธิกาล และด้วยสามารถแห่งกำเนิด ท่านอาจารย์จึงได้
กล่าวคำว่า สพฺพานิปิ ปเนตานิ เป็นอาทิ ฯ
บทว่า ยถาห์ ความว่า โดยสมควรแก่สัตว์ผู้มีภาวรูปและ
อายตนะบริบูรณ์ ฯ พวกสัตว์ที่เกิดในที่หมักหมม มีดอกบัว, มลทินครรภ์
แห่งกุมารเป็นต้น ชื่อว่าสังเสทชะ ฯ เหล่าสัตว์ที่ชื่อว่าอุปปาติกะ เพราะ
อรรถว่า ความผิดเกิดขึ้นมีแก่สัตว์เหล่านั้น ๆ ก็ในคำว่า อุปปาติกะ นี้
ท่านถือเอาความผิดเกิดขึ้นอันพิเศษ ด้วยสามารถกำหนดคติอย่างสูง ดุจ
อุทาหรณ์ในประโยคว่า อภิรูปสฺส กญฺญา ทาตพฺพา (พึงยกนางสาวให้
แก่บุรุษผู้มีรูปสวย) ฯ คำว่า ๓ ทสกะย่อมปรากฏ ดังนี้ ท่านอาจารย์กล่าว
ไว้ เพราะ ๓ ทสกะมีได้ โดยความเป็นสัตว์มีอายตนะบริบูรณ์ ฯ คำว่า
กทาจิ น ลพฺภนฺติปิ ดังนี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งสัตว์ผู้บอดแต่
กำเนิด ผู้หนวกแต่กำเนิด ผู้ไม่มีฆานะแต่กำเนิด กะเทย และสัตว์ผู้
เกิดในต้นกัลป์ ฯ บัณฑิตพึงทราบสันนิษฐานว่า บรรดาสัตว์เหล่านั้น
พวกอุปปาติกะที่บังเกิดในสุคติ ด้วยกรรมมีอานุภาพมาก ไม่ได้จักขุ
โสตะ และฆานะ เพราะประกอบด้วยความบกพร่องแห่งอินทรีย์ ฯ
เหล่าสังเสทชสัตว์ ไม่ได้ภาวรูป ด้วยสามารถแห่งอุปปาติกะผู้เกิดใน