ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 63
คาถาว่า จตุมคฺคปุปเภเทน เป็นต้น ประกอบความว่า โลกุตตร
จิตอย่างประเสริฐ คือที่เรียกว่าอย่างยิ่ง เพราะไม่มีจิตอื่นจะยิ่งไปกว่า
ตน ท่านลงมติไว้ 4 ประการ อย่างนี้ คือ โลกุตตรกุศลจิต กล่าวคือ
มรรค ๔ มี ๔ อย่าง โดยความต่างแห่งสัมประโยคของอัฏฐิงคิกมรรค
ทั้ง 4 มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ด้วยความสามารถละสังโยชน์ได้อย่างนี้
คือ ละสักกายทิฏฐิ วิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้เด็ดขาด ๑ ทำ
กามราคะและพยาบาทให้เบาบาง ๑ ละกามราคะและพยาบาทเหล่านั้น
นั่นแลได้เด็ดขาด ๑ ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ
และอวิชชา ได้เด็ดขาด ๑ เพราะความที่อินทรีย์มีความสามารถต่างกัน
โดยความต่างแห่งอินทรีย์ที่ไม่ปรากฏ ปรากฏ ปรากฏว่า และปรากฏ
ที่สุด อนึ่ง โลกุตตรวิบากจิตก็มี 4 อย่าง โดยสมควรแก่กุศลจิตนั้น
เพราะเป็นผลแห่งกุศลจิตนั่นเอง ฯ แต่ท่านไม่กล่าวว่า โลกุตตรจิต
มี ๑๒ อย่าง เพราะโลกุตตรจิตกิริยาจิตไม่มี ฯ ถามว่า ก็เพราะเหตุไร
โลกุตตรกิริยาจิตนั้นจึงไม่มี ๆ แก้ว่า เพราะมรรคเป็นไปชั่วขณะจิต
เดียว ฯ จริงอยู่ ถ้ามรรคจิตจะพึงบังเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในเวลานั้น
บัณฑิตอาจจะกล่าวมรรคจิตนั้นว่าเป็นกิริยา โดยที่บังเกิดแก่พระ
ન્
ๆ
ન
อรหันต์ฯ แต่มรรคจิตนั้นไม่เกิดแก่พระเสขะหรือพระอเสขะได้สักครั้ง
เพราะไม่มีกิจที่มรรคจิตนั้นจะพึงทำในเวลาที่บังเกิดขึ้นอีก เพราะจะต้อง
เหไปด้วยอำนาจที่ตัดกิเลสได้ขาดอย่างเดียว และเพราะความเป็นไปโดย
ส่วนเดียวแห่งกิเลสนั้น ๆ อันมรรจิตนั้น ซึ่งเป็นไปเพียงวาระเดียว
ให้สำเร็จแล้ว ดุจการกำจัดต้นไม้เป็นต้นพร้อมทั้งรากเหง้า อันอสนิบาต