ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยคส - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 167
อนุโลม ๒ หรือ ๓ ดวงข้างต้น แม้โดยไม่แปลกกัน ๆ จริงอยู่ มี
อธิบายว่า ๔ ครั้ง หรือเพียง ๓ ครั้ง โดยควรแก่อัปปนาที่จะพึง
เกิดเป็นดวงที่ ๕ หรือที่ ๔ ฯ เพื่อแสดงวาระที่ได้อยู่แก่ชื่อ มีบริกรรม
เป็นต้นโดยไม่เหลือเศษ ท่านอาจารย์จึงกล่าวคำว่า 4 ครั้ง ไว้ในเบื้อง
ต้น ๆ กล่าวคำว่า ที่ ๕ ไว้ในที่สุด ด้วยสามารถลำดับการคำนวณ ฯ
บทว่า อถารห์ คือ ตามสมควรแก่บุคคลผู้เป็นขิปปาภิญญา
และทันธาภิญญาฯ จริงอยู่ อัปปนาจิตที่ 4 เกิดแก่ขิปปาภิญญาบุคคล
ในลำดับแห่งกามาวจรชวนะเป็นไป ๓ ครั้งฯ อัปปนาเกิดที่ ๕ แก่
ทันธาภิญญาบุคคล ในลำดับแห่งชวนะเป็นไป 4 ครั้ง ฯ จึงเห็นสันนิษ
ฐานว่า ก็เพราะอนุโลมไม่ได้การเสพคุ้น จึงไม่อาจจะให้โคตรภูเกิด
ขึ้นได้ และชวนะที่ ๖ และที่ ๒ แม้ที่ได้การเสพคุ้น ก็ไม่อาจตั้งอยู่
ได้ด้วยอำนาจอัปปนา เพราะเป็นชวนะใกล้ต่อภวังค์ เหมือนบุรุษผู้อยู่
ใกล้เหวฉะนั้น ๆ เพราะฉะนั้น อัปปนาจะมีต่ำกว่าชวนะที่ 4 หรือ
สูงกว่าชวนะที่ ๕ ไม่ได้ฯ
ન
[อธิบายอัปปนาวิถี]
บทว่า ยถาภินีหารวเสน คือ ตามสมควรแก่การนำจิตไปใน
สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา อันสมควรแก่รูปอรูปและโลกุตตระ
ซึ่งเป็นมรรคผล ฯ วิวถีแห่งอัปปนา ชื่อว่าอัปปนาวิถีฯ เมื่อท่านอาจารย์
กล่าวคำเพียงเท่านี้ว่า ต่อจากนั้น จิตก็เป็นเหมือนตกภวังค์ ชนทั้งหลาย
จะพึงถือเอาว่า ต่อจากอัปปนาหยั่งลงสู่ชวนะที่ ๔ หรือที่ ๕ แล้ว
จิตจึงเป็นเหมือนตกภวังค์ ผลจิตในลำดับแห่งมรรค และฌานผลจิตใน