ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 107
-
เพราะมีอารมณ์แตกต่างกันทีเดียว ฯ อธิโมกข์ไม่มีการเกิดในวิจิกิจฉาจิต
ซึ่งมีสภาพเป็นไป ๒ อย่าง เพราะเป็นไปโดยอาการคือ ตัดสินอารมณ์
เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า เว้นอธิโมกข์เสีย ดังนี้
[ประมวลเจตสิกลงในจิต]
๓
ประกอบความว่า ธรรมทั้งหลายตั้งอยู่ในอกุศลจิตโดยอาการ ๓
อย่างนี้ คือ ธรรม ๑๕ ตั้งอยู่ในอสังขาริกจิตดวงที่ ๑ และที่ ๒, ธรรม
๑๘ ตั้งอยู่ในอสังขาริกจิตดวงที่ ๓ และที่ ๔, ธรรม ๒๐ ตั้งอยู่ใน
อสังขาริกจิตด้วยที่ ๕, ธรรม ๒๐ ตั้งอยู่ในสสังขาริกจิตดวงที่ ๑ และ
ที่ ๒, ธรรม ๒๐ ตั้งอยู่ในสสังขาริกจิตตดวงที่ ๓ และที่ ๔, ธรรม ๒๒
ตั้งอยู่ในสสังขาริกจิตดวงที่ ๕, ธรรม ๑๕ ตั้งอยู่ในโมมูลจิตทั้งคู่ (๒
ดวง)ฯ
ประกอบความว่าธรรม ๑๔ เหล่านี้ คือ ธรรม ๔ อย่างที่ทั่วไป
คือเป็นสาธารณะแก่อกุศลจิตทั้งหมด และธรรมอีก ๑๐ อย่างที่มีเสมอ
(สมานเจตสิก) คือมีเสมอแก่จิตอื่น (อัญญสมานาเจตสิก) เว้นฉันทะ
ปีติ และอธิโมกข์ บัณฑิตเรียกว่า มีการประกอบในกุศลจิตทั้งหมด ฯ
ด้วยบทว่า ตถา
นี้ ท่านอาจารย์ระบุถึงอัญญสมานาเจตสิก ฯ ชื่อว่ามโน-
ธาตุ เพราะอรรถว่า ธาตุเป็นเพียงความรู้ เพราะไม่ประกอบด้วยกิจคือ
ความรู้พิเศษสุดยอด ดุจมโนวิญญาณธาตุ (ซึ่งไม่ประกอบด้วยความรู้
พิเศษสุดยอด) ฉะนั้น ๆ บทว่า อเหตุกปฏิสนธิยุคเล ได้แก่ ใน
อุเบกขาสันตีรณะทั้งคู่ฯ
ประกอบความว่า ในจิตตุปบาทที่เป็นอเหตุกะ ๑๘ มีการสงเคราะห์