อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา หน้า 363
หน้าที่ 363 / 442

สรุปเนื้อหา

เนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัณหาและอุปาทาน โดยอธิบายว่าตัณหาคือปัจจัยที่นำไปสู่อุปาทานและสามารถส่งผลต่อการเกิดและการดับของชีวิต ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับชาติ ชรา และมรณะ ด้วย อธิบายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอัตตาและอุปาทาน เราขอเชิญชวนให้บัณฑิตทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยธรรมเหล่านี้เพื่อพ้นจากทุกข์ตามหลักอภิธัมมะ.

หัวข้อประเด็น

-ตัณหา
-อุปาทาน
-ปัจจัยธรรม
-ชราและมรณะ
-การประมวลกรรม

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 363 ย่อมถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ตัณหาจึงเป็น ปัจจัยแก่กามุปาทาน ฯ อนึ่ง สัตว์ผู้ติดใจในอารมณ์ ต่างโดยรูปเป็นต้น เป็นผู้ใคร่เพื่อจะพ้นจากสงสาร ย่อมถึงความเห็นผิดโดยนัยเป็นต้นว่า ผลทานที่ให้แล้วไม่มี และการยึดถือในทางที่ไม่บริสุทธิ์ว่า เป็นทาง ที่บริสุทธิ์ และความเห็นอัตตวาททั้ง ๒ ซึ่งเป็นความถือว่า เป็นตน และเป็นของแห่งตน ในขันธ์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ตัณหาจึงเป็น ปัจจัยแม้แก่ทิฏฐปาทานเป็นต้น ฉะนั้น อุปาทานจึงชื่อว่าเกิดจากปัจจัย คือตัณหาฯ สัตว์ทั้งหลายเฉพาะผู้ตั้งอยู่ในอุปาทาน ด้วยอำนาจแห่ง สัมประโยคและอนุสัย ตามสมควร ย่อมเป็นไปเพื่อการประมวลกรรม เพราะฉะนั้น อุปาทานจึงเป็นปัจจัยแก่ภพ ฯ ก็ชาติกล่าวคืออุปปัติภพ ซึ่งมีกรรมภพเป็นเหตุนั่นเอง ย่อมเกิดมีได้ในภพนั้น ๆ เหมือนหน่อ เกิดจากพืชฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ภพจึงชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่ชาติ ฯ และ เมื่อชาตินั่นเองมี จึงเกิดมีชราและมรณะ ฯ จริงอย่างนั้น ชราหรือมรณะ ย่อมไม่มีแก่สัตว์ผู้ไม่เกิด เพราะเหตุนั้น ชาติจึงชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่ชรา และมรณะ ด้วยประการอย่างนี้ บัณฑิตพึงเห็นภาวะแห่งปัจจัยทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นต้นเหล่านี้ เป็นธรรมที่มีปกติเกิดขึ้น โดยความเป็นแห่ง ปัจจัยธรรมนั้น ฉะนี้แล ฯ ન คำว่า เอว ฯ เป ฯ โหติ ความว่า ความปรากฏขึ้น คือความ เกิดขึ้นแห่งทุกขักขันธ์ คือแห่งกองทุกข์ กล่าวคือวัฏฏะนี้ล้วน ๆ คือ ไม่เจือปนด้วยสุขเป็นต้น หรือทั้งสิ้น ย่อมมีด้วยวิธี คือการสืบต่อ แห่งปัจจัยตามที่กล่าวแล้ว แต่ไม่ใช่เกิดมีด้วยการนิรมิตแห่งพระอิศวร
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More