ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 363
ย่อมถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ตัณหาจึงเป็น
ปัจจัยแก่กามุปาทาน ฯ อนึ่ง สัตว์ผู้ติดใจในอารมณ์ ต่างโดยรูปเป็นต้น
เป็นผู้ใคร่เพื่อจะพ้นจากสงสาร ย่อมถึงความเห็นผิดโดยนัยเป็นต้นว่า
ผลทานที่ให้แล้วไม่มี และการยึดถือในทางที่ไม่บริสุทธิ์ว่า เป็นทาง
ที่บริสุทธิ์ และความเห็นอัตตวาททั้ง ๒ ซึ่งเป็นความถือว่า เป็นตน
และเป็นของแห่งตน ในขันธ์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ตัณหาจึงเป็น
ปัจจัยแม้แก่ทิฏฐปาทานเป็นต้น ฉะนั้น อุปาทานจึงชื่อว่าเกิดจากปัจจัย
คือตัณหาฯ สัตว์ทั้งหลายเฉพาะผู้ตั้งอยู่ในอุปาทาน ด้วยอำนาจแห่ง
สัมประโยคและอนุสัย ตามสมควร ย่อมเป็นไปเพื่อการประมวลกรรม
เพราะฉะนั้น อุปาทานจึงเป็นปัจจัยแก่ภพ ฯ ก็ชาติกล่าวคืออุปปัติภพ
ซึ่งมีกรรมภพเป็นเหตุนั่นเอง ย่อมเกิดมีได้ในภพนั้น ๆ เหมือนหน่อ
เกิดจากพืชฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ภพจึงชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่ชาติ ฯ และ
เมื่อชาตินั่นเองมี จึงเกิดมีชราและมรณะ ฯ จริงอย่างนั้น ชราหรือมรณะ
ย่อมไม่มีแก่สัตว์ผู้ไม่เกิด เพราะเหตุนั้น ชาติจึงชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่ชรา
และมรณะ ด้วยประการอย่างนี้ บัณฑิตพึงเห็นภาวะแห่งปัจจัยทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นต้นเหล่านี้ เป็นธรรมที่มีปกติเกิดขึ้น โดยความเป็นแห่ง
ปัจจัยธรรมนั้น ฉะนี้แล ฯ
ન
คำว่า เอว ฯ เป ฯ โหติ ความว่า ความปรากฏขึ้น คือความ
เกิดขึ้นแห่งทุกขักขันธ์ คือแห่งกองทุกข์ กล่าวคือวัฏฏะนี้ล้วน ๆ คือ
ไม่เจือปนด้วยสุขเป็นต้น หรือทั้งสิ้น ย่อมมีด้วยวิธี คือการสืบต่อ
แห่งปัจจัยตามที่กล่าวแล้ว แต่ไม่ใช่เกิดมีด้วยการนิรมิตแห่งพระอิศวร