ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 378
อัพยากตชวนวิบากและไม่ยังวิบากอื่นให้ถือเอาอาเสวนะ ฯ แม้คำที่ท่าน
อาจารย์ธรรมปาลเถระกล่าวไว้ว่า "ชวนะที่จะพ้นไปจากอาเสวนะไม่มี"
ดังนี้ ต้องเข้าใจว่า ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจโวหารที่เป็นส่วนมาก ๆ
โดยประการอื่น พึงประสงค์ความที่ท่านอาจารย์เป็นผู้กล่าวโดยไม่ทันเพ่ง
ความให้ดีๆ แต่คำว่า มรรค
ન
ไม่ถือเอาอาเสวนะจากโคตรภู ไม่มี
เพราะไม่ทรงประสงค์ความที่ธรรมมีชาติต่าง ๆ กัน ด้วยสามารถแห่ง
ภูมิเป็นต้นฯ สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในปกรณ์
ปัฏฐานว่า โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรคโดยเป็นอาเสวนปัจจัย โวทานะ
เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยเป็นอาเสวนปัจจัย ฯ
[อธิบายนามรูปต่างเป็นปัจจัยแก่กันและกัน]
รูปธรรมแม้ที่เกิดขึ้นด้วยกัน ไม่ชื่อว่าสัมปยุตตปัจจัย เพราะไม่มี
ลักษณะสัมประโยค ๔ อย่าง มีเกิดร่วมกันเป็นต้น ท่านอาจารย์ทำใน
ใจ ดังนี้ จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า จิตตเจตสิกา ธมฺมา อญฺญมญฺญ์
ดังนี้ฯ คำว่า เหตุชุฌานงฺคมคฺคงฺคามิ สหชาตานํ นามรูปานํ
ความว่า เหตุ ฌาน และมรรค ทั้ง ๓ นี้ ย่อมเป็นปัจจัยแก่รูปที่มีกรรม
เป็นสมุฏฐานในปฏิสนธิกาล และที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในปวัติกาล และ
แก่นามที่เกิดร่วมกันในปฏิสนธิกาลและปวัติกาลทั้ง ๒ โดยเป็นเหตุ
ปัจจัยเป็นต้นฯ แท้จริง พระอนุรุทธาจารย์กล่าวว่า ในคำทุกคำที่ว่า
สหชาตรูป์ บัณฑิตพึงทราบว่า รูปมีกรรมเป็นสมุฏฐานในปฏิสนธิกาล
มีจิตเป็นสมุฏฐานในปวัติกาล ฯ คำว่า สหชาตา เจตนา ได้แก่